×
ผลการค้นหา : PICK UP
แสดง รายการ

     Toyota Hilux Travo 2026 (โตโยต้า ไฮลักซ์ ทราโว 2026) เปิดตัวและเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่กับรถกระบะขนาด 1 ตัน ของ Toyota แม้จะพัฒนาแบบต่อยอดบนโครงสร้างตัวถังเดิม แต่จัดระเบียบไลน์อัพพร้อมชื่อเรียกในแต่ละเกรดใหม่ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม Standard Cab, กลุ่มยกสูง Prerunner & 4TREX และกลุ่มที่เน้นไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง Overland ซึ่งมาแทน Revo Rocco เดิม ทุกกลุ่ม-ทุกเกรดมีเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร เทอร์โบ ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จากเดิมใช้ 4X4 เปลี่ยนเป็นชื่อ 4TREX นอกจากนี้ ยังเพิ่มทางเลือกรถกระบะไฟฟ้าล้วน BEV ด้วย Hilux Travo-e เจาะกลุ่มองค์กร แต่ยังขาดตระกูล GR ที่เรายังไม่ได้เห็นในการเปิดตัวครั้งนี้

 

Toyota Hilux Travo 2026 ดีไซน์ภายนอก

     Toyota Hilux Travo 2026 ได้รับการเปลี่ยนดีไซน์หน้า-หลังใหม่ เพิ่มสไตลิ่งแข็งแกร่งและโมเดิร์นมากขึ้นด้วยการเพิ่มเหลี่ยมสันเข้าไปในงานออกแบบ โดยชื่อใหม่ Travo มาจากการผสมคำระหว่าง Travel กับ Voyage หมายถึงการเดินทาง มีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ

  • Standard Cab 2 ประตู ตอนเดียวยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ (4TREX)
  • Smart Cab 2 ประตู ตอนครึ่งแค็บเปิดได้ มีทั้งยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Prerunner และยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ 4TREX
  • Double Cab 4 ประตู สองตอน มีทั้งยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Prerunner และยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ 4TREX เสริมด้วยรุ่น Overland เพิ่มการตกแต่งสำหรับไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง Overland

     โดย Toyota Hilux Travo Overland นั้นมาแทนที่ Hilux Revo Rocco มีเฉพาะตัวถัง Double Cab 4 ประตู แต่แบ่งเป็น Prerunner ยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4TREX ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มการตกแต่งภายนอกมากกว่า Prerunner และ 4TREX มาตรฐาน เช่น สปอร์ตบาร์กระบะท้าย ล้ออัลลอยลายต่างกัน

Toyota Hilux Travo 2026 ดีไซน์ภายใน

     สำหรับภายใน Toyota Hilux Travo 2026 ได้รับการออกแบบใหม่ โดยเฉพาะแผงคอนโซลหน้าที่ปรับแนวคิดลบความโค้งมนมาเล่นกับรูปทรงเรขาคณิต ใช้งานง่าย จริงจัง ตรงไปตรงมา ทุกรุ่นใช้ห้องโดยสารโทนสีดำ เบาะหุ้มผ้า Caretex (ยกเว้น Smart Cab เกียร์ธรรมดาเป็น PVC) และตั้งแต่เกรด Premium ขึ้นไป ตกแต่งคอนโซลบุด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่ม พวงมาลัยหุ้มหนัง มีเบรกมือไฟฟ้า ที่ชาร์จสมาร์ตโฟนไร้สาย ระบบเสียงหน้าจอสัมผัส 12.3 นิ้ว ส่วนเกรด Overland ได้เบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ Softex แทนเบาะผ้า ฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มาตรวัดและจออินโฟเทนเมนต์ 12.3 นิ้ว แอร์อัตโนมัติแยกปรับ 2 โซน ช่องเก็บความเย็น Coolbox ขณะที่ Toyota Hilux Travo-e ก็จะได้อุปกรณ์มากพอ ๆ กับ Overland

Toyota Hilux Travo 2026 เครื่องยนต์และสมรรถนะ

     รถกระบะ Toyota Hilux ที่พ่วงด้วยชื่อ Travo ทั้งหมดจะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ รหัส 1GD-FTV เป็นพื้นฐานทั้งหมด แต่รุ่นเกียร์ธรรมดา (MT) และเกียร์อัตโนมัติ (AT) จะมีสมรรถนะต่างกัน

เกียร์ธรรมดา

     กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,400-3,400 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 6 สปีด

เกียร์อัตโนมัติ

     กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด

          ในส่วนของ Toyota Hilux Travo-e ที่ใช้เทคโนโลยีไฟฟ้าล้วน (BEV) ติดตั้งมอเตอร์ 1 ตัวบนเพลาหน้า กำลัง 112 แรงม้า แรงบิด 205.5 นิวตันเมตร และ 1 ตัวบนเพลาหลังกำลัง 176 แรงม้า แรงบิด 268.6 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 59.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ติดตั้งตรงกลางระหว่างคานแชสซีส์ยึดด้วยซับเฟรม ระยะทางวิ่งสูงสุด 315 กิโลเมตร (NEDC) รองรับ Fast Charge กำลังสูงสุด 125 กิโลวัตต์

Toyota Hilux Travo 2026 เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย

     ทางด้านระบบความปลอดภัย Toyota Hilux Travo รุ่น Overland กับ Travo-e จะมาพร้อมระบบช่วยขับขี่ เช่น ระบบรักษาความเร็ว Dynamic Radar Cruise Control ทำงานได้ทุกย่านความเร็ว กล้องมองภาพรอบคัน เตือนการจราจรขณะถอย เตือนรถออกนอกเลน (พร้อมดึงกลับในรุ่น Overland Plus) แต่ Travo-e ไม่มีระบบนี้และจะได้ระบบควบคุมรถให้วิ่งกลางเลน

     ส่วนระบบความปลอดภัยพื้นฐานตัวถัง Standard Cab และ Smart Cab ติดตั้งถุงลมนิรภัย 3 จุด (รวมถึงตัวถัง Double Cab ในรุ่น Prerunner กับ 4TREX ขณะที่ Overland Plus กับ Travo-e ตัวถัง Double Cab จะมีทั้งหมด 7 จุด ทุกรุ่นมีระบบเตือนมุมอับสายตา กล้องมองหลัง ระบบควบคุมการทรงตัว ควบคุมการส่ายเมื่อพ่วงท้าย เป็นต้น

 

Toyota Hilux Travo 2026 มีกี่สี

     Toyota Hilux Travo แต่ละไลน์อัพจะมีสีตัวถังให้เลือกต่างกัน ดังนี้

Toyota Hilux Travo Standard Cab

  • สีเทา Ash
  • สีเงิน Silver Metallic
  • สีขาว Super White II

Toyota Hilux Travo Prerunner & 4TREX

  • สีน้ำตาล Sulfur Metallic
  • สีดำ Attitude Black Mica
  • สีเทา Ash
  • สีเงิน Silver Metallic
  • สีขาว Super White II

Toyota Hilux Travo Overland

  • สีน้ำตาล Sulfur Metallic
  • สีดำ Attitude Black Mica
  • สีเทา Ash
  • สีขาว Platinum White Pearl Mica

Toyota Hilux Travo 2026 ราคาจำหน่าย

Toyota Hilux Travo Standard Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX ราคา 767,000 บาท
  • รุ่น 2.8 4TREX เกียร์ออโต้  ราคา 819,000 บาท

Toyota Hilux Travo Prerunner

     Toyota Hilux Travo Prerunner แบ่งเป็น 2 ตัวถัง คือ Smart Cab และ Double Cab

Smart Cab

  • รุ่น 2.8 Smart ราคา 789,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Smart เกียร์ออโต้ ราคา 839,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium ราคา 859,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium เกียร์ออโต้ ราคา 909,000 บาท

Double Cab

  • รุ่น 2.8 Smart ราคา 895,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Smart เกียร์ออโต้ ราคา 945,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium ราคา 949,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium เกียร์ออโต้ ราคา 999,000 บาท

Toyota Hilux Travo 4TREX

          Toyota Hilux Travo 4TREX แบ่งเป็น 2 ตัวถัง คือ Smart Cab และ Double Cab

Smart Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX Premium ราคา 984,000 บาท
  • รุ่น 2.8 4TREX Premium เกียร์ออโต้ ราคา 1,029,000 บาท

Double Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX Premium ราคา 1,090,000 บาท

Toyota Hilux Travo Overland

  • รุ่น 2.8 Overland ราคา 1,102,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland เกียร์ออโต้ ราคา 1,102,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland 4TREX เกียร์ออโต้ ราคา 1,292,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland Plus 4TREX เกียร์ออโต้ ราคา 1,366,000 บาท

Toyota Hilux Travo-e

  • รุ่น Double Cab 4TREX ราคา 1,491,000 บาท

สรุปความน่าสนใจของ Toyota Hilux Travo 2026

          สำหรับใครที่เชื่อมั่นรถกระบะตระกูล Hilux ของ Toyota อยู่แล้ว ในยุคของ Travo มีการปล่อยออปชั่นหรือกั๊กน้อยลง (ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์และการแข่งขันก็ตามที) การจัดระเบียบรุ่นย่อยใหม่ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น ในภาพรวมราคาปรับขึ้นเล็กน้อยแลกกับอุปกรณ์มาตรฐานที่มากกว่าเดิม

          ขณะเดียวกันทุกรุ่นได้เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร 204 แรงม้า เท่ากันหมด (หากไม่นับ Travo-e) แต่ประหยัดกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร โดยเทียบระหว่าง Toyota Hilux Travo 2.8 Prerunner ตัวถัง Double Cab เกียร์ออโต้ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 14.5 กิโลเมตร/ลิตร (EcoSticker) กับ Toyota Hilux Revo 2.4 Prerunner เกียร์ออโต้ ที่ทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ 13.7 กิโลเมตร/ลิตร (EcoSticker)

          อย่างไรก็ตาม Toyota Hilux Travo ใหม่ จะยังไม่มีรุ่นความสูงมาตรฐานอย่าง Z Edition ในตอนนี้ รวมถึงตระกูล GR ซึ่งคาดว่าตามมาในอนาคต ส่วนตลาดรถกระบะเชิงพาณิชย์ Toyota ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ยังมอบให้ Hilux Revo รับหน้าที่ควบคู่กับ Hilux Champ ส่วนเรื่องดีไซน์ถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล รอดูผลจากยอดขายว่าจะทิ้งห่าง Isuzu D-Max ได้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

 

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 15 Nov, 2025
อ่านต่อ

     การขับรถนอกเมืองทางไกล หลายคนมองว่าเป็นการไปพักผ่อนตากอากาศช่วงวันหยุดและวันลาของแต่ละคนที่เลือก แน่นอนว่านอกจากรถยนต์ที่ต้องพักเวลาขับทางไกลแล้ว ร่างกายของคุณเองก้ต้องพักเช่นเดียวกัน วันนี้ เราจะมาบอกวิธีฟื้นร่างกายก่อนขับรถทางไกลที่ คนขับควรทำก่อนออกรถระหว่างรถได้พัก กับคำแนะนำทั้งหมด 5 วิธีด้วยกัน

 

5 วิธีพักร่างระหว่างพักรถให้สดชื่นพร้อมขับต่อ

ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching): ลงจากรถ ยืดแขน ขา ลำตัว และคอ การยืดเหยียดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการเมื่อยล้า และคลายกล้ามเนื้อที่ถูกจำกัดในท่าเดิมเป็นเวลานาน

เดินเล่นรอบรถ: เดินสำรวจรอบรถและยาง (Check-up) เล็กน้อย เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถและทำให้ร่างกายได้รับอากาศบริสุทธิ์

เติมคาเฟอีน (ถ้าจำเป็น): หากรู้สึกอ่อนเพลีย สามารถดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนได้ แต่ควรดื่มในช่วงเริ่มต้นของการพัก 20 นาที เพื่อให้คาเฟอีนเริ่มออกฤทธิ์ก่อนที่คุณจะขับรถต่อ

หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล: ในช่วงพัก ควรพักสายตาจากการมองจอโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต เพื่อให้ดวงตาได้พักจากการโฟกัสอย่างแท้จริง

งีบหลับสั้น ๆ : หากรู้สึกง่วงจัด การงีบหลับสั้น ๆ เพียง 15-20 นาที จะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ดีเยี่ยม แต่อย่านอนนานกว่านี้ เพราะจะทำให้เข้าสู่สภาวะหลับลึกและตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงงมากกว่าเดิม

ดังนั้น! วิธีเหล่านี้ก็ช่วยให้ในเรื่องของการพักที่เพียงพอและขับรถต่อไปได้เช่นเดียวกัน เราควรพักผ่อนให้เหมาะสมก่อนออกเดินทางเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 04 Nov, 2025
อ่านต่อ

     รถยนต์มีการพัฒนาก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระหว่างนี้เทคโนโลยีที่เริ่มล้าสมัยก็จะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทความนี้ เราจะพาไปรู้จัก 10 ออปชันยอดฮิตในอดีต ที่ปัจจุบันแทบจะหาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

1. ที่จุดบุหรี่

เด็กยุคใหม่อาจรู้จักช่องจ่ายไฟแบบ 12 โวลต์ (แม้ว่าปัจจุบันจะใช้แต่ช่อง USB ก็ตามทีเถอะ) แต่อาจไม่เคยรู้ว่ารถสมัยก่อนจะมีที่จุดบุหรี่เสียบมากับช่องจ่ายไฟด้วย ซึ่งวิธีใช้งานก็ง่ายมาก เพียงแค่กดปุ่มลงไป รอจนกว่าจะเด้งออกมา ก็สามารถนำขดลวดสีแดงร้อนฉ่ามาจุดบุหรี่ได้ทันที

2. กระจกหูช้าง

รถสมัยก่อนสามารถผลักกระจกหูช้างที่ประตูคู่หน้าออกเพื่อระบายอากาศได้ด้วยนะ

3. ที่ปัดน้ำฝนไฟหน้า

ก้านปัดน้ำฝนไฟหน้าส่วนใหญ่จะพบได้ในรถยุโรปเสียมากกว่า เพราะมันมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการปัดหิมะ รวมถึงดินโคลนที่อาจกระเด็นมาเกาะบนไฟหน้าได้

4. ช่องใส่เทป / ซีดี

ปัจจุบันเด็กหลายคนอาจนึกว่าช่องใส่เทปเป็นช่องสำหรับเสียบโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำไป ส่วนช่องใส่ CD ต่อให้มีก็แทบไม่มีใครใช้กันแล้ว นอกจากคุณจะเป็นพวก Audiophile จริงๆ เท่านั้น

5. ไฟหน้า Pop-up

ไฟหน้าแบบ Pop-up ที่สามารถเด้งขึ้น-ลงได้ถือเป็นฟีเจอร์ที่ว้าวมากในสมัยก่อน แต่ด้วยไฟหน้าประเภทนี้ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนาแอโรไดนามิกของรถ เราจึงไม่เจอไฟหน้าแบบป๊อปอัปอีกต่อไปแล้ว

6. กระจกหน้าต่างมือหมุน

หากย้อนกลับไปสัก 30 ปีที่แล้ว กระจกไฟฟ้าถือเป็นออปชันที่มีแต่ในรถหรูๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันหากรถคันไหนยังเป็นกระจกมือหมุนแล้วล่ะก็ รับรองว่าขายไม่ออกอย่างแน่นอน

7. พวงมาลัยธรรมดา

คนยุคปัจจุบันคงเคยชินกับพวงมาลัยพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงกันหมดแล้ว แต่สมัยก่อนรถที่ใช้พวงมาลัยแบบธรรมดา จะเข้าที่จอดรถทีต้องโหนพวงมาลัยกันจนกล้ามขึ้น ยิ่งถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดาด้วยแล้วล่ะก็ เป็นอะไรที่ท้าทายแบบสุดๆ ไปเลย

8. กุญแจแบบเสียบ

ยุคปัจจุบันมีระบบกุญแจไร้สายคู่กับปุ่มสตาร์ทที่เรียกว่าแทบจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานกันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ขณะที่สมัยก่อนกว่าจะขึ้นรถได้ ต้องเดินมาเสียบกุญแจที่ข้างประตู และถ้าคันไหนไม่มีระบบเซ็นทรัลล็อก ก็ต้องเอื้อมสุดแขนไปปลดล็อกประตูให้คนอีกฝั่ง นี่ยังไม่นับรวมว่าการล็อกประตูจะต้องคอยเช็กทุกบานว่าล็อกหมดแล้วหรือยังด้วยนะ

9. ล้อแม็ก 5 วง

หากเป็นสมัยก่อน ล้ออะไหล่ก็คือล้อแม็กดีๆ นี่เอง พูดง่ายๆ คือ รถทุกคันจะมีล้อหน้าตาแบบเดียวกันมาให้ถึง 5 วง (แต่ล้ออะไหล่มักจะไม่มีฝาครอบดุมล้อหรือฝาโลโก้มาให้) ส่วนปัจจุบันมักจะเป็นล้อขนาดพิเศษน้ำหนักเบาสำหรับใช้เป็นล้ออะไหล่โดยเฉพาะ บางรุ่นถึงขั้นมีเฉพาะชุดซ่อมยางเท่านั้น

10. กระจกมองข้างปรับมือ

ปัจจุบันกระจกมองข้างแบบพับมือยังพอมีให้เห็น แต่กระจกข้างแบบปรับด้วยมือถือเป็นของแรร์มากๆ ถึงกระนั้นก็ยังมีก้านปรับในห้องโดยสารมาให้อยู่ แต่หากย้อนไปสัก 30 ปีที่แล้วล่ะก็ การปรับกระจกมองข้างจะต้องยื่นมือออกไปปรับที่ตัวกระจกเลย ยิ่งถ้าปรับกระจกฝั่งคนนั่งด้วยแล้วล่ะก็ ต้องโยกตัวกัน 3-4 รอบกว่าจะได้องศาที่ต้องการ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 19 Sep, 2025
อ่านต่อ

     การเลือกเทอร์โบชาร์จเจอร์สำหรับรถกระบะ Toyota Revo เพื่อเปลี่ยนใหม่ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้สมรรถนะที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ คู่มือนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

 

1. ทำความเข้าใจประเภทของเทอร์โบสำหรับ Toyota Revo

เทอร์โบของ Toyota Revo มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับรุ่นและปีที่ผลิต โดยหลักๆ แล้วแบ่งได้ดังนี้:

  • เทอร์โบเดิม (Standard Turbo): เป็นเทอร์โบที่ติดตั้งมากับรถจากโรงงาน เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ไม่ต้องการการดัดแปลงเครื่องยนต์เพิ่มเติม และให้สมรรถนะที่สมดุลทั้งด้านพละกำลังและการประหยัดน้ำมัน
  • เทอร์โบอัปเกรด (Upgrade Turbo): เป็นเทอร์โบที่ถูกดัดแปลงจากเทอร์โบเดิม เช่น เปลี่ยนใบพัดเป็นแบบ billet (อลูมิเนียมเกรดพิเศษ) ที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรงกว่า ทำให้เทอร์โบติดบูสต์ได้เร็วขึ้นและรองรับแรงดันบูสต์ที่สูงขึ้นได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มสมรรถนะของรถโดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์มากนัก
  • เทอร์โบโมดิฟาย (Modify Turbo): เป็นเทอร์โบที่ถูกสร้างขึ้นใหม่หรือดัดแปลงอย่างมากเพื่อรองรับกำลังเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น การเปลี่ยนโข่งหลังให้ใหญ่ขึ้น หรือเปลี่ยนขนาดใบพัดใหม่ทั้งหมด เหมาะสำหรับรถที่ต้องการกำลังม้าสูงๆ และมีการปรับจูนเครื่องยนต์อย่างเต็มระบบ (เช่น การรีแมปกล่อง ECU)

2. ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกซื้อ

  • วัตถุประสงค์การใช้งาน:
    • ใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน: หากต้องการเปลี่ยนเพราะของเดิมเสีย และไม่ได้เน้นเรื่องความแรง ควรเลือกเทอร์โบเดิมหรือเทอร์โบเทียบเท่าของเดิม ซึ่งหาซื้อง่ายและราคาไม่แพงมากนัก
    • ต้องการเพิ่มสมรรถนะเล็กน้อย: หากต้องการให้รถขับสนุกขึ้น ตอบสนองได้ดีขึ้น ควรพิจารณาเทอร์โบอัปเกรด ซึ่งจะช่วยให้รถมีกำลังและแรงบิดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยที่ยังคงความทนทานไว้
    • เน้นความแรงสูงสุด (รถแข่ง/รถซิ่ง): หากต้องการกำลังม้าสูงๆ สำหรับการใช้งานหนัก หรือเพื่อการแข่งขัน ควรเลือกเทอร์โบโมดิฟายที่ออกแบบมาสำหรับแรงม้าสูงโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม การติดตั้งเทอร์โบประเภทนี้จำเป็นต้องมีการอัปเกรดชิ้นส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังร่วมด้วย
  • รุ่นเครื่องยนต์ (2.4L หรือ 2.8L):
  • เครื่องยนต์ 2.4L (2GD): เทอร์โบเดิมของรุ่นนี้มีขนาดเล็กกว่ารุ่น 2.8L หากต้องการเพิ่มความแรง การเปลี่ยนไปใช้เทอร์โบของรุ่น 2.8L (1GD) หรือเทอร์โบอัปเกรดที่ออกแบบมาสำหรับ 2.4L จะช่วยให้รถมีกำลังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • เครื่องยนต์ 2.8L (1GD): เทอร์โบเดิมของรุ่นนี้มีขนาดใหญ่กว่าและเป็นแบบลูกปืน (Ball Bearing) ซึ่งช่วยให้การตอบสนองดีกว่า หากต้องการเพิ่มความแรง อาจพิจารณาการอัปเกรดใบพัดหรือเทอร์โบโมดิฟาย
  • งบประมาณ:
  • เทอร์โบเดิม/เทียบเท่า: มีราคาถูกที่สุด
  • เทอร์โบอัปเกรด/โมดิฟาย: มีราคาสูงขึ้นตามคุณภาพและสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น
  • ความเข้ากันได้: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเทอร์โบใหม่ที่คุณจะซื้อสามารถติดตั้งแทนของเดิมได้โดยไม่ต้องดัดแปลงท่อทางเดินอากาศหรือท่อไอเสียมากนัก หากเลือกเทอร์โบที่มีขนาดแตกต่างจากเดิมมาก อาจต้องมีการดัดแปลงระบบท่อไอดีและท่อไอเสีย ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายและเวลาในการติดตั้ง

3. อาการที่บ่งบอกว่าเทอร์โบเสีย

ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเทอร์โบ ควรสังเกตอาการเหล่านี้เพื่อยืนยันว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้ว:

  • เสียงหวีดหอนดังผิดปกติ: เสียงคล้ายไซเรนหรือเสียงหวีดแหลมๆ ขณะที่เทอร์โบกำลังทำงาน
  • ควันดำหรือควันขาว: เกิดจากการที่น้ำมันเครื่องรั่วเข้าไปในระบบไอเสียและถูกเผาไหม้
  • เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง: แรงอัดอากาศลดลง ทำให้รถอืดและเร่งไม่ขึ้น
  • มีน้ำมันเครื่องรั่วซึม: บริเวณแกนเทอร์โบหรือท่อทางเดินน้ำมัน
  • ใบพัดเทอร์โบเสียหาย: อาจมีอาการบิ่น แตก หรือแกนเทอร์โบหลวม ทำให้เกิดเสียงผิดปกติและสมรรถนะลดลง

4. คำแนะนำเพิ่มเติม

  • ปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาอู่ซ่อมรถที่มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ดีเซลและเทอร์โบโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ
  • เลือกซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ: ควรซื้อเทอร์โบจากตัวแทนจำหน่ายหรือร้านค้าที่มีชื่อเสียงและมีบริการหลังการขายที่ดี เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องสินค้าไม่ได้มาตรฐานหรือของปลอม
  • การปรับจูน (Remap ECU): การเปลี่ยนเทอร์โบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีสเปกที่แตกต่างจากเดิม ควรทำการรีแมปกล่อง ECU ใหม่ เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานร่วมกับเทอร์โบใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ในระยะยาว

 

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 09 Sep, 2025
อ่านต่อ

เตือนภัยหน้าร้อน! 3 จุดเสี่ยงจอดรถ "ห้ามทำ" ถ้าไม่อยากยางแตกกลางแดด

ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยรถยนต์ออกโรงเตือนผู้ขับขี่ หลีกเลี่ยง 3 ความเสี่ยง ในการจอดรถช่วงอากาศร้อนจัด มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายต่อยางรถยนต์ ทั้งสึกหรอเร็วกว่าปกติ หรือถึงขั้นระเบิดได้

1. อย่าจอดโดยล้อเอียง

ข้อแรกที่หลายคนมองข้าม คือการจอดรถโดยไม่ตั้งล้อตรง โดยเฉพาะเมื่อต้องจอดนาน ๆ การปล่อยให้ล้อเอียงหรือหันไปด้านใดด้านหนึ่งอาจทำให้แก้มยางรับแรงกดมากกว่าปกติ ส่งผลให้ยางบวม หรือแตกลายได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่อุณหภูมิสูงจัด

คำแนะนำ: ก่อนดับเครื่อง ควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อตรงเสมอ เพื่อกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอ ช่วยถนอมยางในระยะยาว

2. หลีกเลี่ยงการจอดบนฟุตบาทหรือพื้นที่ยกสูง

การจอดรถบนขอบฟุตบาท หรือพื้นต่างระดับ อาจทำให้ล้อด้านหนึ่งแบกรับน้ำหนักมากกว่าด้านอื่น ส่งผลให้ยางด้านนั้นสึกเร็วกว่าปกติ อีกทั้งยังผิดกฎหมายในบางพื้นที่ เช่น ลอนดอนและสกอตแลนด์

     นอกจากนี้ ความไม่สมดุลของน้ำหนักยังทำให้โครงสร้างยางเสียรูป เมื่อเจอกับอุณหภูมิสูง อาจทำให้ยางเสียหายหนักยิ่งขึ้น

3. อย่าจอดบนโลหะหรือลาดยาง (แอสฟัลต์) ในแดดจ้า

พื้นผิวอย่างตะแกรงเหล็ก หรือถนนแอสฟัลต์ในวันที่แดดแรง สามารถมีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านั้น หากยางสัมผัสกับพื้นร้อนจัดเป็นเวลานาน อาจเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เสี่ยงระเบิดหรือแตกลายงาได้

คำแนะนำ: หากจำเป็นต้องจอดกลางแดด ควรเลือกพื้นที่ร่มหรือพื้นคอนกรีตที่ไม่อมความร้อนมากนัก

อย่าลืมเช็กลมยาง… ตอนยางเย็นเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญจาก MoneySuperMarket แนะนำว่าการเช็กลมยางควรทำขณะยางยังเย็น เนื่องจากความร้อนจะทำให้แรงดันลมเพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งอาจทำให้การวัดผิดเพี้ยน

     ย้ำว่า “ห้ามลดลมยางหลังจากที่เห็นแรงดันสูงขึ้นเพราะความร้อน” เพราะนั่นเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับคำแนะนำความปลอดภัยของสหราชอาณาจักร

 

สรุป: ปกป้องยางรถในหน้าร้อน

  • จอดโดยล้อตรงทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการจอดบนพื้นที่เอียงหรือสูงไม่เท่ากัน
  • ไม่จอดบนโลหะหรือแอสฟัลต์ร้อนจัด
  • เช็กลมยางตอนเช้าหรือเมื่อยางเย็นเท่านั้น

ทั้งนี้ หากยางเกิดความเสียหายจากการสึกหรอหรือการละเลย การเคลมประกันอาจไม่ครอบคลุมค่าเสียหาย ดังนั้นการดูแลยางให้ดีตั้งแต่แรกจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 23 Aug, 2025
อ่านต่อ

     ทุกวันนี้รถยนต์ที่คุณใช้งานไม่ว่าจะเป็นรถปกติ, รถไฮบริต และ รถไฟฟ้า จะต้องมีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่คุณต้องดูน้ำพักหม้อน้ำเพื่อดูว่าระดับยังปกติไหม และถ้าใช้งานอยู่ดีๆ น้ำลดลงไปการหามาเติมด้วยความที่มีหลายแบบหลายสีไปหมด คุณอาจจะเผลอเอาน้ำสีอื่นมาเติมหวังว่าจะผสมเพื่อเกินสีใหม่ แต่รู้หรือไม่สิ่งเหล่านี้ที่ทำอาจจะทำให้รถของคุณพังเร็ว วันนี้ เราจะมาเฉลยว่าน้ำหม้อน้ำแต่ละสีทำอะไร และบอกว่าถ้าเติมผิดจะเกิดอะไรขึ้นรวมถึงการเติมให้ถูกต้องทำอย่างไร

สีของน้ำยาหล่อเย็น บอกอะไรเรา?

ในอดีต สีของน้ำยาหล่อเย็นเคยใช้เป็นตัวบ่งชี้เทคโนโลยีและสารเคมีที่ใช้ แต่ในปัจจุบัน สีไม่ใช่มาตรฐานสากลอีกต่อไป ผู้ผลิตแต่ละรายอาจใช้สีที่แตกต่างกันไปในเทคโนโลยีเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถใช้สีเป็นแนวทางเบื้องต้นในการแบ่งกลุ่มเทคโนโลยีหลักๆ ได้ดังนี้

  • สีเขียว (Green): เป็นสีของน้ำยาหล่อเย็นยุคดั้งเดิม มักใช้เทคโนโลยี IAT (Inorganic Additive Technology) ซึ่งมีส่วนผสมของสารอนินทรีย์ เช่น ซิลิเกต (Silicate) และฟอสเฟต (Phosphate) ในการเคลือบเพื่อป้องกันการกัดกร่อน มีอายุการใช้งานสั้นที่สุด คือประมาณ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร เหมาะสำหรับรถยนต์รุ่นเก่าๆ
  • สีชมพู หรือ สีแดง (Pink / Red): เป็นสีที่นิยมใช้ในน้ำยาหล่อเย็นยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี OAT (Organic Acid Technology) ซึ่งใช้กรดอินทรีย์เป็นสารยับยั้งการกัดกร่อน ไม่มีส่วนผสมของซิลิเกตและฟอสเฟต ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานมาก (Long Life Coolant) ตั้งแต่ 5 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตรขึ้นไป มักพบในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากค่ายญี่ปุ่น (เช่น Toyota, Honda) และค่ายอเมริกัน (GM)
  • สีฟ้า สีส้ม หรือ สีเหลือง (Blue / Orange / Yellow): มักเป็นกลุ่มเทคโนโลยี HOAT (Hybrid Organic Acid Technology) ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อดีของแบบ IAT และ OAT เข้าด้วยกัน โดยใช้กรดอินทรีย์ร่วมกับสารอนินทรีย์ (เช่น ซิลิเกต) เพื่อให้การป้องกันที่รวดเร็วและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน มักใช้ในรถยนต์ค่ายยุโรป (เช่น BMW, Mercedes-Benz) และค่ายอเมริกันบางรุ่น (เช่น Ford, Chrysler)

เติมน้ำหม้อผิดสีจะเกิดอะไรขึ้น

หากรู้เรื่องน้ำหม้อน้ำแล้ว แต่ยังฝืนที่จะเต็มผิด เช่นเทคโนโลยีต่างกัน (เช่น เอาสีเขียว IAT ไปผสมกับสีชมพู OAT) สารเคมีที่อยู่ในน้ำยาทั้งสองชนิดจะทำปฏิกิริยาต่อต้านกันเอง ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์เลวร้ายดังนี้

กลายเป็นวุ้นหรือเจล

เรื่่องแรกคือปัญหาที่พบบ่อยที่สุด สารยับยั้งการกัดกร่อนที่ไม่เข้ากันจะทำปฏิกิริยากันและจับตัวเป็นก้อนหนาคล้ายวุ้นหรือเจลเหนียวๆ

เกิดการอุดตัน

หากเติมผิดมักจะมีสิ่งที่สังเกตได้คือ การเกิด วุ้น เจล หรือตะกอนที่เกิดขึ้น จะลอยไปอุดตันตามส่วนต่างๆ ของระบบระบายความร้อน โดยเฉพาะในช่องทางที่แคบ เช่น รังผึ้งหม้อน้ำ (Radiator Core), ท่อทางเดินน้ำ และ ฮีทเตอร์คอร์ (Heater Core) ที่ใช้ทำความร้อนในห้องโดยสาร

ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างรุนแรง

เมื่อระบบอุดตัน น้ำยาหล่อเย็นจะไม่สามารถไหลเวียนเพื่อนำความร้อนออกจากเครื่องยนต์ได้สะดวก ทำให้ เครื่องยนต์ร้อนจัด (Overheating) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

สูญเสียคุณสมบัติป้องกันสนิม

ปฏิกิริยาเคมีจะทำให้สารป้องกันการกัดกร่อนในน้ำยาทั้งสองชนิดเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์และหม้อน้ำที่สัมผัสกับน้ำโดยตรง เกิดสนิมและการกัดกร่อนได้ง่ายขึ้น

ชิ้นส่วนสำคัญเสียหาย

  • ปั๊มน้ำ ตะกอนแข็งที่เกิดขึ้นอาจไปทำลายซีลของปั๊มน้ำ ทำให้เกิดการรั่วซึมและปั๊มน้ำพังได้
  • เครื่องยนต์ หากปล่อยให้เครื่องยนต์ร้อนจัดเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เช่น ปะเก็นฝาสูบแตก หรือฝาสูบโก่ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงมาก

ดังนั้นหากเติมผิดถ้ารถยังไม่ติดเครื่องควรถ่ายออก แต่ถ้าเติมออกจากอู่และไม่ได้เช็ค ก่อนออกจากอู่ควรหยุดรถเช็คก่อนว่าน้ำหม้อน้ำผิดปกติหรือไม่ แนะนำให้ถ่ายภาพก่อนที่จะเปลี่ยนสีของน้ำหม้อน้ำเดิมไว้ก่อนดีกว่า

การเติมน้ำหม้อน้ำให้ถูกต้องทำอย่างไร

หากรถของคุณยังอยู่ในระยะประกันหรือสายเข้าศูนย์ตลอดเวลาเรื่องนี้อาจจะไม่ต้องคิดอะไร แต่ถ้าคนที่ไม่อยากเข้าศูนย์เพราะประหยัดเงิน จะต้องทำสิ่งต่างๆ ดังนี้

  • เปิดคู่มือประจำรถ ถือเป็นวิธีที่ดีและแม่นยำที่สุด ในคู่มือจะระบุชนิดหรือมาตรฐาน (Specification) ของน้ำยาหล่อเย็นที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำไว้อย่างชัดเจน เช่น "Use Toyota Super Long Life Coolant" หรือ "Meets GM Dex-Cool specifications"
  • ดูที่ฉลากผลิตภัณฑ์ เมื่อไปเลือกซื้อ อย่าดูแค่สี! ให้อ่านฉลากข้างขวดอย่างละเอียด มองหาว่าน้ำยาหล่อเย็นนั้นเป็นประเภท IAT, OAT หรือ HOAT และผ่านการรับรองมาตรฐานสำหรับรถยนต์ยี่ห้อใดบ้าง
  • ใช้ของเดิมเป็นเกณฑ์ หากไม่แน่ใจ และน้ำยาหล่อเย็นในรถยังเป็นของเดิมจากโรงงาน ให้ใช้สีเดิมเป็นแนวทางเบื้องต้น แล้วหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นที่มี "เทคโนโลยี" เดียวกัน (ซึ่งมักจะเป็นสีเดียวกันสำหรับยี่ห้อนั้นๆ)
  • ปรึกษาศูนย์บริการหรือช่างผู้ชำนาญ หากยังไม่มั่นใจ การสอบถามจากศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ หรืออู่ซ่อมรถที่ไว้ใจได้ คือทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

โดยสรุปแล้วการเลือกน้ำยาหล่อเย็นที่ถูกต้อง ควรให้ความสำคัญกับ "เทคโนโลยี (IAT, OAT, HOAT)" และ "มาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ" เป็นหลัก โดยใช้สีเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น การดูแลรักษาระบบหล่อเย็นอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ป้องกันปัญหารถความร้อนขึ้น และช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 13 Aug, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.