×
ผลการค้นหา : PICK UP
แสดง รายการ

เตือนภัยหน้าร้อน! 3 จุดเสี่ยงจอดรถ "ห้ามทำ" ถ้าไม่อยากยางแตกกลางแดด

ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยรถยนต์ออกโรงเตือนผู้ขับขี่ หลีกเลี่ยง 3 ความเสี่ยง ในการจอดรถช่วงอากาศร้อนจัด มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายต่อยางรถยนต์ ทั้งสึกหรอเร็วกว่าปกติ หรือถึงขั้นระเบิดได้

1. อย่าจอดโดยล้อเอียง

ข้อแรกที่หลายคนมองข้าม คือการจอดรถโดยไม่ตั้งล้อตรง โดยเฉพาะเมื่อต้องจอดนาน ๆ การปล่อยให้ล้อเอียงหรือหันไปด้านใดด้านหนึ่งอาจทำให้แก้มยางรับแรงกดมากกว่าปกติ ส่งผลให้ยางบวม หรือแตกลายได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่อุณหภูมิสูงจัด

คำแนะนำ: ก่อนดับเครื่อง ควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อตรงเสมอ เพื่อกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอ ช่วยถนอมยางในระยะยาว

2. หลีกเลี่ยงการจอดบนฟุตบาทหรือพื้นที่ยกสูง

การจอดรถบนขอบฟุตบาท หรือพื้นต่างระดับ อาจทำให้ล้อด้านหนึ่งแบกรับน้ำหนักมากกว่าด้านอื่น ส่งผลให้ยางด้านนั้นสึกเร็วกว่าปกติ อีกทั้งยังผิดกฎหมายในบางพื้นที่ เช่น ลอนดอนและสกอตแลนด์

     นอกจากนี้ ความไม่สมดุลของน้ำหนักยังทำให้โครงสร้างยางเสียรูป เมื่อเจอกับอุณหภูมิสูง อาจทำให้ยางเสียหายหนักยิ่งขึ้น

3. อย่าจอดบนโลหะหรือลาดยาง (แอสฟัลต์) ในแดดจ้า

พื้นผิวอย่างตะแกรงเหล็ก หรือถนนแอสฟัลต์ในวันที่แดดแรง สามารถมีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านั้น หากยางสัมผัสกับพื้นร้อนจัดเป็นเวลานาน อาจเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เสี่ยงระเบิดหรือแตกลายงาได้

คำแนะนำ: หากจำเป็นต้องจอดกลางแดด ควรเลือกพื้นที่ร่มหรือพื้นคอนกรีตที่ไม่อมความร้อนมากนัก

อย่าลืมเช็กลมยาง… ตอนยางเย็นเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญจาก MoneySuperMarket แนะนำว่าการเช็กลมยางควรทำขณะยางยังเย็น เนื่องจากความร้อนจะทำให้แรงดันลมเพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งอาจทำให้การวัดผิดเพี้ยน

     ย้ำว่า “ห้ามลดลมยางหลังจากที่เห็นแรงดันสูงขึ้นเพราะความร้อน” เพราะนั่นเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับคำแนะนำความปลอดภัยของสหราชอาณาจักร

 

สรุป: ปกป้องยางรถในหน้าร้อน

  • จอดโดยล้อตรงทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการจอดบนพื้นที่เอียงหรือสูงไม่เท่ากัน
  • ไม่จอดบนโลหะหรือแอสฟัลต์ร้อนจัด
  • เช็กลมยางตอนเช้าหรือเมื่อยางเย็นเท่านั้น

ทั้งนี้ หากยางเกิดความเสียหายจากการสึกหรอหรือการละเลย การเคลมประกันอาจไม่ครอบคลุมค่าเสียหาย ดังนั้นการดูแลยางให้ดีตั้งแต่แรกจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 23 Aug, 2025
อ่านต่อ

     ทุกวันนี้รถยนต์ที่คุณใช้งานไม่ว่าจะเป็นรถปกติ, รถไฮบริต และ รถไฟฟ้า จะต้องมีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่คุณต้องดูน้ำพักหม้อน้ำเพื่อดูว่าระดับยังปกติไหม และถ้าใช้งานอยู่ดีๆ น้ำลดลงไปการหามาเติมด้วยความที่มีหลายแบบหลายสีไปหมด คุณอาจจะเผลอเอาน้ำสีอื่นมาเติมหวังว่าจะผสมเพื่อเกินสีใหม่ แต่รู้หรือไม่สิ่งเหล่านี้ที่ทำอาจจะทำให้รถของคุณพังเร็ว วันนี้ เราจะมาเฉลยว่าน้ำหม้อน้ำแต่ละสีทำอะไร และบอกว่าถ้าเติมผิดจะเกิดอะไรขึ้นรวมถึงการเติมให้ถูกต้องทำอย่างไร

สีของน้ำยาหล่อเย็น บอกอะไรเรา?

ในอดีต สีของน้ำยาหล่อเย็นเคยใช้เป็นตัวบ่งชี้เทคโนโลยีและสารเคมีที่ใช้ แต่ในปัจจุบัน สีไม่ใช่มาตรฐานสากลอีกต่อไป ผู้ผลิตแต่ละรายอาจใช้สีที่แตกต่างกันไปในเทคโนโลยีเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถใช้สีเป็นแนวทางเบื้องต้นในการแบ่งกลุ่มเทคโนโลยีหลักๆ ได้ดังนี้

  • สีเขียว (Green): เป็นสีของน้ำยาหล่อเย็นยุคดั้งเดิม มักใช้เทคโนโลยี IAT (Inorganic Additive Technology) ซึ่งมีส่วนผสมของสารอนินทรีย์ เช่น ซิลิเกต (Silicate) และฟอสเฟต (Phosphate) ในการเคลือบเพื่อป้องกันการกัดกร่อน มีอายุการใช้งานสั้นที่สุด คือประมาณ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร เหมาะสำหรับรถยนต์รุ่นเก่าๆ
  • สีชมพู หรือ สีแดง (Pink / Red): เป็นสีที่นิยมใช้ในน้ำยาหล่อเย็นยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี OAT (Organic Acid Technology) ซึ่งใช้กรดอินทรีย์เป็นสารยับยั้งการกัดกร่อน ไม่มีส่วนผสมของซิลิเกตและฟอสเฟต ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานมาก (Long Life Coolant) ตั้งแต่ 5 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตรขึ้นไป มักพบในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากค่ายญี่ปุ่น (เช่น Toyota, Honda) และค่ายอเมริกัน (GM)
  • สีฟ้า สีส้ม หรือ สีเหลือง (Blue / Orange / Yellow): มักเป็นกลุ่มเทคโนโลยี HOAT (Hybrid Organic Acid Technology) ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อดีของแบบ IAT และ OAT เข้าด้วยกัน โดยใช้กรดอินทรีย์ร่วมกับสารอนินทรีย์ (เช่น ซิลิเกต) เพื่อให้การป้องกันที่รวดเร็วและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน มักใช้ในรถยนต์ค่ายยุโรป (เช่น BMW, Mercedes-Benz) และค่ายอเมริกันบางรุ่น (เช่น Ford, Chrysler)

เติมน้ำหม้อผิดสีจะเกิดอะไรขึ้น

หากรู้เรื่องน้ำหม้อน้ำแล้ว แต่ยังฝืนที่จะเต็มผิด เช่นเทคโนโลยีต่างกัน (เช่น เอาสีเขียว IAT ไปผสมกับสีชมพู OAT) สารเคมีที่อยู่ในน้ำยาทั้งสองชนิดจะทำปฏิกิริยาต่อต้านกันเอง ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์เลวร้ายดังนี้

กลายเป็นวุ้นหรือเจล

เรื่่องแรกคือปัญหาที่พบบ่อยที่สุด สารยับยั้งการกัดกร่อนที่ไม่เข้ากันจะทำปฏิกิริยากันและจับตัวเป็นก้อนหนาคล้ายวุ้นหรือเจลเหนียวๆ

เกิดการอุดตัน

หากเติมผิดมักจะมีสิ่งที่สังเกตได้คือ การเกิด วุ้น เจล หรือตะกอนที่เกิดขึ้น จะลอยไปอุดตันตามส่วนต่างๆ ของระบบระบายความร้อน โดยเฉพาะในช่องทางที่แคบ เช่น รังผึ้งหม้อน้ำ (Radiator Core), ท่อทางเดินน้ำ และ ฮีทเตอร์คอร์ (Heater Core) ที่ใช้ทำความร้อนในห้องโดยสาร

ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างรุนแรง

เมื่อระบบอุดตัน น้ำยาหล่อเย็นจะไม่สามารถไหลเวียนเพื่อนำความร้อนออกจากเครื่องยนต์ได้สะดวก ทำให้ เครื่องยนต์ร้อนจัด (Overheating) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

สูญเสียคุณสมบัติป้องกันสนิม

ปฏิกิริยาเคมีจะทำให้สารป้องกันการกัดกร่อนในน้ำยาทั้งสองชนิดเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์และหม้อน้ำที่สัมผัสกับน้ำโดยตรง เกิดสนิมและการกัดกร่อนได้ง่ายขึ้น

ชิ้นส่วนสำคัญเสียหาย

  • ปั๊มน้ำ ตะกอนแข็งที่เกิดขึ้นอาจไปทำลายซีลของปั๊มน้ำ ทำให้เกิดการรั่วซึมและปั๊มน้ำพังได้
  • เครื่องยนต์ หากปล่อยให้เครื่องยนต์ร้อนจัดเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เช่น ปะเก็นฝาสูบแตก หรือฝาสูบโก่ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงมาก

ดังนั้นหากเติมผิดถ้ารถยังไม่ติดเครื่องควรถ่ายออก แต่ถ้าเติมออกจากอู่และไม่ได้เช็ค ก่อนออกจากอู่ควรหยุดรถเช็คก่อนว่าน้ำหม้อน้ำผิดปกติหรือไม่ แนะนำให้ถ่ายภาพก่อนที่จะเปลี่ยนสีของน้ำหม้อน้ำเดิมไว้ก่อนดีกว่า

การเติมน้ำหม้อน้ำให้ถูกต้องทำอย่างไร

หากรถของคุณยังอยู่ในระยะประกันหรือสายเข้าศูนย์ตลอดเวลาเรื่องนี้อาจจะไม่ต้องคิดอะไร แต่ถ้าคนที่ไม่อยากเข้าศูนย์เพราะประหยัดเงิน จะต้องทำสิ่งต่างๆ ดังนี้

  • เปิดคู่มือประจำรถ ถือเป็นวิธีที่ดีและแม่นยำที่สุด ในคู่มือจะระบุชนิดหรือมาตรฐาน (Specification) ของน้ำยาหล่อเย็นที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำไว้อย่างชัดเจน เช่น "Use Toyota Super Long Life Coolant" หรือ "Meets GM Dex-Cool specifications"
  • ดูที่ฉลากผลิตภัณฑ์ เมื่อไปเลือกซื้อ อย่าดูแค่สี! ให้อ่านฉลากข้างขวดอย่างละเอียด มองหาว่าน้ำยาหล่อเย็นนั้นเป็นประเภท IAT, OAT หรือ HOAT และผ่านการรับรองมาตรฐานสำหรับรถยนต์ยี่ห้อใดบ้าง
  • ใช้ของเดิมเป็นเกณฑ์ หากไม่แน่ใจ และน้ำยาหล่อเย็นในรถยังเป็นของเดิมจากโรงงาน ให้ใช้สีเดิมเป็นแนวทางเบื้องต้น แล้วหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นที่มี "เทคโนโลยี" เดียวกัน (ซึ่งมักจะเป็นสีเดียวกันสำหรับยี่ห้อนั้นๆ)
  • ปรึกษาศูนย์บริการหรือช่างผู้ชำนาญ หากยังไม่มั่นใจ การสอบถามจากศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ หรืออู่ซ่อมรถที่ไว้ใจได้ คือทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

โดยสรุปแล้วการเลือกน้ำยาหล่อเย็นที่ถูกต้อง ควรให้ความสำคัญกับ "เทคโนโลยี (IAT, OAT, HOAT)" และ "มาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ" เป็นหลัก โดยใช้สีเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น การดูแลรักษาระบบหล่อเย็นอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ป้องกันปัญหารถความร้อนขึ้น และช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 13 Aug, 2025
อ่านต่อ

     เกียร์ S หรือโหมด Sport จะช่วยให้การขับรถเป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่หลายคนมองว่าการขับด้วยเกียร์ S จะทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ความจริงแล้วเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่? บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

เกียร์ S ทำเครื่องยนต์กินน้ำมันเพิ่มขึ้นจริงหรือ?

การใช้เกียร์ S (Sport) โดยทั่วไปแล้วจะทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าการใช้เกียร์ D (Drive) ในการขับขี่ปกติ เนื่องจากเหตุผลดังนี้

  • รอบเครื่องยนต์สูงขึ้น - ในโหมด S เกียร์จะถูกเปลี่ยนที่รอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่าปกติ เพื่อให้เครื่องยนต์อยู่ในช่วงกำลัง (Power Band) ที่ดีที่สุด ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดีขึ้น แต่การที่เครื่องยนต์หมุนรอบสูงขึ้นย่อมหมายถึงการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นต่อหน่วยเวลา
  • การเปลี่ยนเกียร์ช้าลง - โหมด S จะหน่วงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น (Upshift) ทำให้เครื่องยนต์ลากรอบได้นานขึ้นก่อนที่จะเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งเป็นการใช้พลังงานและน้ำมันมากขึ้น
  • ตอบสนองคันเร่งไวขึ้น - โหมด S มักจะปรับการตอบสนองของคันเร่งให้ไวขึ้น ทำให้เพียงแค่แตะคันเร่งเบาๆ เครื่องยนต์ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมการขับขี่ที่ใช้คันเร่งหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว
  • รถมี Engine Brake มากขึ้น - ในบางรุ่น โหมด S อาจมีการใช้ Engine Brake ที่เข้มข้นขึ้นเมื่อถอนคันเร่ง ซึ่งแม้ว่าจะช่วยชะลอรถ แต่ก็อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์จากแรงเฉื่อยของรถเท่ากับการปล่อยให้รถไหลในเกียร์ D

เมื่อไหร่ควรใช้เกียร์ S

     เกียร์ S มีประโยชน์ในสถานการณ์ที่ต้องการสมรรถนะของเครื่องยนต์เป็นพิเศษ เช่น การเร่งแซง, การขึ้นทางชัน หรือการขับขี่ที่ต้องการความสนุกสนาน และเมื่อผ่านพ้้นสถานการณ์ดังกล่าวก็ควรกลับมาใช้เกียร์ D เพื่อการประหยัดน้ำมัน

 

     สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน หรือเมื่อต้องการประหยัดน้ำมัน การใช้เกียร์ D เป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้เกียร์ S เป็นครั้งคราวเมื่อต้องการสมรรถนะเพิ่มเติมก็ไม่ได้เป็นอันตรายต่อรถ แต่ผู้ขับขี่ควรตระหนักว่าการใช้งานในโหมดนี้จะส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าอย่างแน่นอน การควบคุมคันเร่งและสไตล์การขับขี่ก็มีผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเช่นกัน ไม่ว่าจะใช้เกียร์ใดก็ตามครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 29 Apr, 2025
อ่านต่อ

     รีวิวลองขับ Mazda CX-5 2025 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ยังคงเป็นจ่าฝูงด้านสมรรถนะ เพิ่มเติมความสดใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป กับราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ติดตามกับ เราได้เลย

 

Mazda CX-5 2025 ใหม่ มีการปรับลดรุ่นย่อยจาก 4 รุ่น เหลือ 3 รุ่น พร้อมราคาจำหน่ายทางการ ดังนี้

  • รุ่น 2.0 S ราคา 1,219,000 บาท
  • รุ่น 2.0 SP ราคา 1,299,000 บาท
  • รุ่น XDL ราคาประมาณ 1,669,000 บาท

จะเห็นว่ามาสด้าได้มีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 TURBO ออก แล้วเหลือไว้เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และดีเซล 2.2 ลิตรเท่านั้น

 

ภายนอก

รูปลักษณ์ภายนอกของ Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการปรับรายละเอียดด้านหน้าและด้านท้าย ส่วนดีไซน์ตัวถังยังคงเดิมทั้งหมด ติดตั้งไฟหน้าแบบ LED Signature ที่ออกแบบไฟส่องสว่างเวลากลางวันเป็นรูปตัว L ซ้อนกัน มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุก

 

กระจังหน้ามีการปรับรายละเอียดกรอบโครเมียม พร้อมกันชนหน้าที่เน้นความมินิมอลคล้ายกับ Mazda3 และ CX-30 รุ่นปัจจุบัน โดยที่รุ่น XDL จะมีการตกแต่งส่วนล่างของกันชนและซุ้มล้อด้วยสีเดียวกับตัวรถ ทำให้ภาพรวมดูมีความพรีเมียมแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร

 

ส่วนด้านท้ายมีการปรับดีไซน์ไฟท้ายให้ดูกลมกลืนกับไฟหน้า พร้อมกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ทุกรุ่นย่อยได้ประตูท้ายแบบไฟฟ้าที่เพิ่มเติมด้วยฟังก์ชัน Hand Free Power Lift Gate สามารถสอดเท้าบริเวณใต้กันชนเพื่อเปิดและปิดประตูท้ายได้

 

ส่วนล้ออัลลอยของรุ่น 2.0 S เป็นขนาด 17 นิ้ว รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ล้อขนาด 19 นิ้วลายใหม่ทั้งหมด

 

สีภายนอกมีให้เลือก 7 สี โดยมี 2 สีใหม่ ได้แก่ สีเทา Polymetal Gray และสีบรอนซ์ Platinum Quartz จำหน่ายควบคู่ไปกับ 5 สีเดิม ได้แก่

 

  • สีขาว Snowflake White Pearl
  • สีดำ Jet Black
  • สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue
  • สีเทา Machine Gray
  • สีแดง Soul Red Crystal

ภายใน

การตกแต่งภายในห้องโดยสารยกดีไซน์มาจากรุ่นเดิมทั้งหมดเช่นกัน แต่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความพรีเมียมตามฉบับมาสด้า โดยเฉพาะรุ่น XDL ที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุหนัง Nappa สี Deep Red ผิวสัมผัสเนียนละเอียดแบบรถยุโรป ซึ่งสีของหนังจะออกไปทางสีแดงเข้มจัดจนเกือบจะเป็นสีดำ โดยรวมแล้วดูมีความภูมิฐานดี

 

จุดเปลี่ยนภายในห้องโดยสารก็คือเรือนไมล์ที่มีการปรับดีไซน์แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า โดยยังคงรูปแบบ Analogue ควบคู่ไปกับจอสี TFT ที่ออกแบบได้อย่างกลมกลืน มีความสวยงามและดูพรีเมียม ถือเป็นรายละเอียดที่มาสด้าทำได้ค่อนข้างดี

 

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ดีไซน์ยกมาจากรุ่นก่อนหน้า (อีกแล้ว) สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง เพิ่มเติมด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ Sports Paddle Shift ทุกรุ่นย่อย โดยที่รุ่น XDL จะถูกเพิ่มเติมด้วยปุ่ม Mi-Drive เพื่อเปิดใช้งานโหมด Off Road เนื่องจากเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

 

ส่วนหน้าจอกลางเป็นแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่ยกชุดมาจากรุ่นเดิม น่าเสียดายที่รูปแบบการแสดงผล หรือ User Interface ยังคงเหมือนเดิมเช่นกัน มาพร้อมกับปุ่ม Center Commander บริเวณคอนโซลกลางที่ช่วยให้สามารถควบคุมสั่งการได้อย่างสะดวก ไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าจอสัมผัสเพียงอย่างเดียว

 

ถึงกระนั้น Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ก็ได้มีการเพิ่มระบบ Wireless Apple CarPlay มาให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนฝั่ง Android Auto ยังคงต้องเสียบผ่าน USB เหมือนเดิม โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้แท่นชาร์จ Wireless Charger เพิ่มขึ้นมา

 

สำหรับเบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับเอนพนักพิงได้ แต่ต้องยอมรับว่าบรรยากาศห้องโดยสารตอนหลังของ CX-5 ไม่ได้โปร่งโล่งเท่ากับคู่แข่ง เน้นไปที่ความกระชับในการโดยสารเสียมากกว่า

 

ระบบเสียง Bose พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง ที่ติดตั้งลงใน Mazda CX-5 ถือว่ามีคุณภาพเสียงใช้ได้ทีเดียว ส่วนตัวผู้เขียนเองเป็นคนชอบฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ แน่นๆ ซึ่งเครื่องเสียงชุดนี้ก็ตอบสนองโสตประสาทได้เป็นอย่างดี เนื้อเสียงมีน้ำมีนวล จะเปิดเพลงหรือพอดคาสต์ก็รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง

 

อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกบังลมหน้า (Windshied Active Driving Display), ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold, กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมช่องแอร์หลัง, ระบบปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยว AFS, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 รอบทิศทาง

 

ขณะที่ระบบความปลอดภัย i-ACTIVSENSE ของ Mazda CX-5 2025 ไมเนอร์เชนจ์ ประกอบด้วย

  • LAS - Lane-Keep Assist System
  • DAA - Driver Attention Alert
  • LDWS - Lane Departure Warning System
  • MRCC w. Stop & Go - Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go
  • RCTA - Rear Cross Traffic Alert
  • ABSM - Advanced Blind Spot Monitoring
  • SBS - Smart Brake Support
  • Advance SCBS - Advanced Smart City Brake Support
  • SCBS-R Smart City Brake Support - Reverse
  • ALH - Adaptive LED Headlamps

โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า (CTS - Cruising Traffic Support) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go เพิ่มขึ้นมา หรือพูดง่ายๆ ก็คือแบบ All-speed ที่สามารถลดความเร็วอัตโนมัติได้จนถึง 0 กม./ชม. นั่นเอง

 

อุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มขึ้นแต่ละรุ่นย่อย (เทียบกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์)

รุ่น 2.0 S เพิ่มเติมด้วย

  • ไฟหน้าและไฟท้าย LED Signature ใหม่
  • กระจังหน้าและ Signature Wing ใหม่
  • ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
  • เบาะหนังสีดำ
  • Wireless Apple CarPlay
  • Sport Paddle Shift
  • Hand Free Power Lift Gate

รุ่น 2.0 SP เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 S

  • ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
  • Wireless Charger
  • Cruising Traffic Support
  • MRCC with Stop & Go

รุ่น XDL เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 SP

  • ชุดตกแต่งภายนอกสีเดียวกับตัวรถ
  • ท่อไอเสียขนาดใหญ่
  • เบาะหนัง Nappa สี Deep Red
  • ระบบขับขี่ Off Road พร้อมสวิตช์ Mi-Drive

เครื่องยนต์และช่วงล่าง

รุ่น 2.0 S และ 2.0 SP ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.9 กม./ลิตร รองรับน้ำมัน E85

 

รุ่น XDL ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV AWD อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.9 กม./ลิตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro5

 

ขณะเดียวกันช่วงล่างของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการเสริมคานด้านล่างของห้องโดยสารตอนหลัง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างตัวถัง และมีการเปลี่ยนสปริงและโช้กที่ช่วยลดแรงสะเทือนเข้ามายังห้องโดยสาร เพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

 

การขับขี่

การทดลองขับครั้งนี้ เราได้มีโอกาสจับรุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D 2.2 ลิตร ค่าตัว 1.669 ล้านบาท ซึ่งแอบน่าเสียดายที่ไม่ได้ลองขับตัวเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร เพราะเชื่อว่าน่าจะขายดีกว่ารุ่นดีเซลเป็นแน่แท้

 

โดยที่รุ่น XDL ยังคงมอบอัตราเร่งที่ฉับไว อันเป็นผลมาจากแรงบิดกว่า 450 นิวตัน-เมตร พ่วงเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ช่วยสร้างความเร้าใจในการขับขี่ได้ดีกว่าเกียร์ CVT อย่างเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง

 

ขณะที่รุ่นเบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร แม้ว่าจะไม่มีโอกาสทดลองขับ แต่ด้วยตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่ไม่ต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า ก็พอจะบอกได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งทำได้ดี แต่การเร่งแซงในย่านความเร็วกลางถึงสูงอาจเหี่ยวแห้งไปบ้าง หากเน้นใช้งานในเมืองเป็นหลักก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

 

Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ถือได้ว่าเป็น C-SUV ที่มีช่วงล่างดีที่สุดในตลาด ด้วยการเซ็ตช่วงล่างให้มีลักษณะหนึบแน่น ช่วยลดอาการโคลงที่ความเร็วสูง ขณะเดียวกันก็สามารถเก็บอาการขณะผ่านทางขรุขระได้ดี ไม่ตึงตังจนน่ารำคาญ เหมาะสำหรับพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่ต้องการรถใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป วันไหนอยากจะบู๊สักหน่อย ช่วงล่างของ CX-5 ใหม่ ก็พร้อมจะตอบสนองฝีเท้าในทันที

 

จบทริป กทม. - สัตหีบ รวมระยะทางทั้งสิ้น 175.2 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนหน้าจออยู่ที่ 16.5 กม./ลิตร เทียบกับผู้โดยสาร 3 คน (รวมคนขับ) ความเร็วเดินทางประมาณ 110 - 120 กม./ชม. เกือบตลอดทั้งเส้นทาง ก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย

 

สรุป

Mazda CX-5 2025 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นมาสด้าไว้อย่างครบถ้วน เพิ่มเติมด้วยรูปลักษณะที่สดใหม่ และออปชันเพิ่มความคุ้มค่า ซึ่งการปรับราคาจำหน่ายรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทั้ง 2 รุ่นย่อย อยู่ในระดับราคาไม่ถึง 1.3 ล้านบาท พอจะช่วยให้ CX-5 กลับมาเป็นที่น่าจับตามองได้บ้าง ส่วนรุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร แม้ราคาจะเฉียด 1.7 ล้านบาท แต่หากงบถึงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลที่ทั้งแรงและประหยัด ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้วจากค่ายคู่แข่ง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 22 Jan, 2025
อ่านต่อ

     รถยนต์มีการพัฒนาก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระหว่างนี้เทคโนโลยีที่เริ่มล้าสมัยก็จะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทความนี้ เราจะพาไปรู้จัก 10 ออปชันยอดฮิตในอดีต ที่ปัจจุบันแทบจะหาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

1. ที่จุดบุหรี่

เด็กยุคใหม่อาจรู้จักช่องจ่ายไฟแบบ 12 โวลต์ (แม้ว่าปัจจุบันจะใช้แต่ช่อง USB ก็ตามทีเถอะ) แต่อาจไม่เคยรู้ว่ารถสมัยก่อนจะมีที่จุดบุหรี่เสียบมากับช่องจ่ายไฟด้วย ซึ่งวิธีใช้งานก็ง่ายมาก เพียงแค่กดปุ่มลงไป รอจนกว่าจะเด้งออกมา ก็สามารถนำขดลวดสีแดงร้อนฉ่ามาจุดบุหรี่ได้ทันที

2. กระจกหูช้าง

รถสมัยก่อนสามารถผลักกระจกหูช้างที่ประตูคู่หน้าออกเพื่อระบายอากาศได้ด้วยนะ

3. ที่ปัดน้ำฝนไฟหน้า

ก้านปัดน้ำฝนไฟหน้าส่วนใหญ่จะพบได้ในรถยุโรปเสียมากกว่า เพราะมันมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการปัดหิมะ รวมถึงดินโคลนที่อาจกระเด็นมาเกาะบนไฟหน้าได้

4. ช่องใส่เทป / ซีดี

ปัจจุบันเด็กหลายคนอาจนึกว่าช่องใส่เทปเป็นช่องสำหรับเสียบโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำไป ส่วนช่องใส่ CD ต่อให้มีก็แทบไม่มีใครใช้กันแล้ว นอกจากคุณจะเป็นพวก Audiophile จริงๆ เท่านั้น

5. ไฟหน้า Pop-up

ไฟหน้าแบบ Pop-up ที่สามารถเด้งขึ้น-ลงได้ถือเป็นฟีเจอร์ที่ว้าวมากในสมัยก่อน แต่ด้วยไฟหน้าประเภทนี้ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนาแอโรไดนามิกของรถ เราจึงไม่เจอไฟหน้าแบบป๊อปอัปอีกต่อไปแล้ว

6. กระจกหน้าต่างมือหมุน

หากย้อนกลับไปสัก 30 ปีที่แล้ว กระจกไฟฟ้าถือเป็นออปชันที่มีแต่ในรถหรูๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันหากรถคันไหนยังเป็นกระจกมือหมุนแล้วล่ะก็ รับรองว่าขายไม่ออกอย่างแน่นอน

7. พวงมาลัยธรรมดา

คนยุคปัจจุบันคงเคยชินกับพวงมาลัยพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงกันหมดแล้ว แต่สมัยก่อนรถที่ใช้พวงมาลัยแบบธรรมดา จะเข้าที่จอดรถทีต้องโหนพวงมาลัยกันจนกล้ามขึ้น ยิ่งถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดาด้วยแล้วล่ะก็ เป็นอะไรที่ท้าทายแบบสุดๆ ไปเลย

8. กุญแจแบบเสียบ

ยุคปัจจุบันมีระบบกุญแจไร้สายคู่กับปุ่มสตาร์ทที่เรียกว่าแทบจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานกันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ขณะที่สมัยก่อนกว่าจะขึ้นรถได้ ต้องเดินมาเสียบกุญแจที่ข้างประตู และถ้าคันไหนไม่มีระบบเซ็นทรัลล็อก ก็ต้องเอื้อมสุดแขนไปปลดล็อกประตูให้คนอีกฝั่ง นี่ยังไม่นับรวมว่าการล็อกประตูจะต้องคอยเช็กทุกบานว่าล็อกหมดแล้วหรือยังด้วยนะ

9. ล้อแม็ก 5 วง

หากเป็นสมัยก่อน ล้ออะไหล่ก็คือล้อแม็กดีๆ นี่เอง พูดง่ายๆ คือ รถทุกคันจะมีล้อหน้าตาแบบเดียวกันมาให้ถึง 5 วง (แต่ล้ออะไหล่มักจะไม่มีฝาครอบดุมล้อหรือฝาโลโก้มาให้) ส่วนปัจจุบันมักจะเป็นล้อขนาดพิเศษน้ำหนักเบาสำหรับใช้เป็นล้ออะไหล่โดยเฉพาะ บางรุ่นถึงขั้นมีเฉพาะชุดซ่อมยางเท่านั้น

10. กระจกมองข้างปรับมือ

ปัจจุบันกระจกมองข้างแบบพับมือยังพอมีให้เห็น แต่กระจกข้างแบบปรับด้วยมือถือเป็นของแรร์มากๆ ถึงกระนั้นก็ยังมีก้านปรับในห้องโดยสารมาให้อยู่ แต่หากย้อนไปสัก 30 ปีที่แล้วล่ะก็ การปรับกระจกมองข้างจะต้องยื่นมือออกไปปรับที่ตัวกระจกเลย ยิ่งถ้าปรับกระจกฝั่งคนนั่งด้วยแล้วล่ะก็ ต้องโยกตัวกัน 3-4 รอบกว่าจะได้องศาที่ต้องการ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

✅IHI TURBO 🇯🇵

✅GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 21 Aug, 2024
อ่านต่อ

     แนะนำ 4 อาชีพสำหรับคนมีรถยนต์ส่วนตัว เหมาะสำหรับขับหารายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ เพิ่มช่องทางทำมาหากินก็ได้ หรือจะหันมาประกอบเป็นอาชีพหลักก็ดี มีอะไรบ้าง เราจะพาไปดูกัน

 

4 อาชีพหารายได้สำหรับคนมีรถยนต์

อาชีพที่ 1 รับ - ส่งผู้โดยสาร

อาชีพรับ-ส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ส่วนตัวถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง เพราะสามารถทำเป็นรายได้เสริมนอกเวลางาน หรือจะทำเป็นงานหลักก็ได้เช่นกัน โดยปัจจุบันมีแอปพลิเคชันต่างๆ รองรับมากมาย เช่น GrabCar, Bolt ฯลฯ แต่โดยมากจะต้องเป็นรถที่มีอายุไม่เกิน 9 ปี จึงจะสามารถเข้าร่วมได้

อาชีพที่ 2 ส่งอาหาร - ส่งพัสดุ

หากคุณไม่อยากทำงานบริการที่ต้องคลุกคลีกับผู้โดยสารตลอดเวลาแล้วล่ะก็ จะหันไปรับ-ส่งพัสดุหรืออาหารก็ได้เช่นกัน (แต่แนะนำว่าหากเป็นการรับ-ส่งอาหารควรเลือกเฉพาะพื้นที่ที่การจราจรไม่หนาแน่นหรือตามต่างจังหวัดจะดีกว่า เนื่องจากเป็นอาชีพที่ต้องแข่งกับเวลามากพอสมควร) อีกทั้งผู้ให้บริการแอปพลิเคชันบางรายยังอนุโลมอายุรถสูงสุดถึง 20 ปี

อาชีพที่ 3 เปิดท้ายขายของ - ขายอาหาร

รถเก๋งไม่ว่าจะ 4 ประตู หรือ 5 ประตู ก็สามารถเปิดท้ายขายของหรือขายอาหารได้ทั้งนั้น ขอแค่มีอุปกรณ์พร้อมก็เปิดร้านได้ หลายคนที่เปิดท้ายขายของเริ่มจากการนำข้าวของตัวเองมาขายเป็นของมือสอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของใช้ เครื่องสำอางที่ไม่เคยแกะมาใช้ หรืออะไรก็ตามที่คิดว่าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ เพียงแต่จะต้องหาทำเลที่เหมาะสม มีคนเดินพลุกพล่านไปมา เพื่อเพิ่มโอกาสที่คนจะพบเห็นสินค้าที่นำมาขายนั่นเอง

อาชีพที่ 4 ปล่อยเช่ารถตัวเอง

หากจอดรถทิ้งเอาไว้เฉยๆ แทบไม่เคยนำมาใช้งานเลย ก็สามารถนำรถของตัวเองมาปล่อยเช่ารายวันได้ โดยปัจจุบันแอปพลิเคชัน 2 เจ้าหลักๆ ที่ให้บริการปล่อยเช่ารถตัวเอง คือ HAUP และ Drivemate ซึ่งหากรถที่ปล่อยเช่ามีสภาพดี ตำแหน่งจุดจอดรถอยู่ที่พื้นที่ที่เข้าถึงได้สะดวกจากลูกค้า ก็มีโอกาสปล่อยเช่าได้ง่ายมากขึ้น แต่ต้องดูความคุ้มค่าในระยะยาวด้วยว่าตอบโจทย์มากน้อยแค่ไหน

 

เห็นไหมครับว่ารถเก๋งก็สามารถนำมาประกอบอาชีพหารายได้เสริมได้เช่นกัน เผื่อใครกำลังมองหาช่องทางเพิ่มรายได้อยู่ล่ะก็ จะลองทำอาชีพเหล่านี้ก็ดีไม่น้อยทีเดียวครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 24 Apr, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.