×
ผลการค้นหา : PICK UP
แสดง รายการ

     เกียร์ S หรือโหมด Sport จะช่วยให้การขับรถเป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่หลายคนมองว่าการขับด้วยเกียร์ S จะทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ความจริงแล้วเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่? บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

เกียร์ S ทำเครื่องยนต์กินน้ำมันเพิ่มขึ้นจริงหรือ?

การใช้เกียร์ S (Sport) โดยทั่วไปแล้วจะทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าการใช้เกียร์ D (Drive) ในการขับขี่ปกติ เนื่องจากเหตุผลดังนี้

  • รอบเครื่องยนต์สูงขึ้น - ในโหมด S เกียร์จะถูกเปลี่ยนที่รอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่าปกติ เพื่อให้เครื่องยนต์อยู่ในช่วงกำลัง (Power Band) ที่ดีที่สุด ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดีขึ้น แต่การที่เครื่องยนต์หมุนรอบสูงขึ้นย่อมหมายถึงการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นต่อหน่วยเวลา
  • การเปลี่ยนเกียร์ช้าลง - โหมด S จะหน่วงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น (Upshift) ทำให้เครื่องยนต์ลากรอบได้นานขึ้นก่อนที่จะเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งเป็นการใช้พลังงานและน้ำมันมากขึ้น
  • ตอบสนองคันเร่งไวขึ้น - โหมด S มักจะปรับการตอบสนองของคันเร่งให้ไวขึ้น ทำให้เพียงแค่แตะคันเร่งเบาๆ เครื่องยนต์ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมการขับขี่ที่ใช้คันเร่งหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว
  • รถมี Engine Brake มากขึ้น - ในบางรุ่น โหมด S อาจมีการใช้ Engine Brake ที่เข้มข้นขึ้นเมื่อถอนคันเร่ง ซึ่งแม้ว่าจะช่วยชะลอรถ แต่ก็อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์จากแรงเฉื่อยของรถเท่ากับการปล่อยให้รถไหลในเกียร์ D

เมื่อไหร่ควรใช้เกียร์ S

     เกียร์ S มีประโยชน์ในสถานการณ์ที่ต้องการสมรรถนะของเครื่องยนต์เป็นพิเศษ เช่น การเร่งแซง, การขึ้นทางชัน หรือการขับขี่ที่ต้องการความสนุกสนาน และเมื่อผ่านพ้้นสถานการณ์ดังกล่าวก็ควรกลับมาใช้เกียร์ D เพื่อการประหยัดน้ำมัน

 

     สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน หรือเมื่อต้องการประหยัดน้ำมัน การใช้เกียร์ D เป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้เกียร์ S เป็นครั้งคราวเมื่อต้องการสมรรถนะเพิ่มเติมก็ไม่ได้เป็นอันตรายต่อรถ แต่ผู้ขับขี่ควรตระหนักว่าการใช้งานในโหมดนี้จะส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าอย่างแน่นอน การควบคุมคันเร่งและสไตล์การขับขี่ก็มีผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเช่นกัน ไม่ว่าจะใช้เกียร์ใดก็ตามครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 29 Apr, 2025
อ่านต่อ

     รีวิวลองขับ Mazda CX-5 2025 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ยังคงเป็นจ่าฝูงด้านสมรรถนะ เพิ่มเติมความสดใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป กับราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ติดตามกับ เราได้เลย

 

Mazda CX-5 2025 ใหม่ มีการปรับลดรุ่นย่อยจาก 4 รุ่น เหลือ 3 รุ่น พร้อมราคาจำหน่ายทางการ ดังนี้

  • รุ่น 2.0 S ราคา 1,219,000 บาท
  • รุ่น 2.0 SP ราคา 1,299,000 บาท
  • รุ่น XDL ราคาประมาณ 1,669,000 บาท

จะเห็นว่ามาสด้าได้มีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 TURBO ออก แล้วเหลือไว้เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และดีเซล 2.2 ลิตรเท่านั้น

 

ภายนอก

รูปลักษณ์ภายนอกของ Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการปรับรายละเอียดด้านหน้าและด้านท้าย ส่วนดีไซน์ตัวถังยังคงเดิมทั้งหมด ติดตั้งไฟหน้าแบบ LED Signature ที่ออกแบบไฟส่องสว่างเวลากลางวันเป็นรูปตัว L ซ้อนกัน มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุก

 

กระจังหน้ามีการปรับรายละเอียดกรอบโครเมียม พร้อมกันชนหน้าที่เน้นความมินิมอลคล้ายกับ Mazda3 และ CX-30 รุ่นปัจจุบัน โดยที่รุ่น XDL จะมีการตกแต่งส่วนล่างของกันชนและซุ้มล้อด้วยสีเดียวกับตัวรถ ทำให้ภาพรวมดูมีความพรีเมียมแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร

 

ส่วนด้านท้ายมีการปรับดีไซน์ไฟท้ายให้ดูกลมกลืนกับไฟหน้า พร้อมกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ทุกรุ่นย่อยได้ประตูท้ายแบบไฟฟ้าที่เพิ่มเติมด้วยฟังก์ชัน Hand Free Power Lift Gate สามารถสอดเท้าบริเวณใต้กันชนเพื่อเปิดและปิดประตูท้ายได้

 

ส่วนล้ออัลลอยของรุ่น 2.0 S เป็นขนาด 17 นิ้ว รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ล้อขนาด 19 นิ้วลายใหม่ทั้งหมด

 

สีภายนอกมีให้เลือก 7 สี โดยมี 2 สีใหม่ ได้แก่ สีเทา Polymetal Gray และสีบรอนซ์ Platinum Quartz จำหน่ายควบคู่ไปกับ 5 สีเดิม ได้แก่

 

  • สีขาว Snowflake White Pearl
  • สีดำ Jet Black
  • สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue
  • สีเทา Machine Gray
  • สีแดง Soul Red Crystal

ภายใน

การตกแต่งภายในห้องโดยสารยกดีไซน์มาจากรุ่นเดิมทั้งหมดเช่นกัน แต่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความพรีเมียมตามฉบับมาสด้า โดยเฉพาะรุ่น XDL ที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุหนัง Nappa สี Deep Red ผิวสัมผัสเนียนละเอียดแบบรถยุโรป ซึ่งสีของหนังจะออกไปทางสีแดงเข้มจัดจนเกือบจะเป็นสีดำ โดยรวมแล้วดูมีความภูมิฐานดี

 

จุดเปลี่ยนภายในห้องโดยสารก็คือเรือนไมล์ที่มีการปรับดีไซน์แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า โดยยังคงรูปแบบ Analogue ควบคู่ไปกับจอสี TFT ที่ออกแบบได้อย่างกลมกลืน มีความสวยงามและดูพรีเมียม ถือเป็นรายละเอียดที่มาสด้าทำได้ค่อนข้างดี

 

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ดีไซน์ยกมาจากรุ่นก่อนหน้า (อีกแล้ว) สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง เพิ่มเติมด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ Sports Paddle Shift ทุกรุ่นย่อย โดยที่รุ่น XDL จะถูกเพิ่มเติมด้วยปุ่ม Mi-Drive เพื่อเปิดใช้งานโหมด Off Road เนื่องจากเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

 

ส่วนหน้าจอกลางเป็นแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่ยกชุดมาจากรุ่นเดิม น่าเสียดายที่รูปแบบการแสดงผล หรือ User Interface ยังคงเหมือนเดิมเช่นกัน มาพร้อมกับปุ่ม Center Commander บริเวณคอนโซลกลางที่ช่วยให้สามารถควบคุมสั่งการได้อย่างสะดวก ไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าจอสัมผัสเพียงอย่างเดียว

 

ถึงกระนั้น Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ก็ได้มีการเพิ่มระบบ Wireless Apple CarPlay มาให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนฝั่ง Android Auto ยังคงต้องเสียบผ่าน USB เหมือนเดิม โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้แท่นชาร์จ Wireless Charger เพิ่มขึ้นมา

 

สำหรับเบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับเอนพนักพิงได้ แต่ต้องยอมรับว่าบรรยากาศห้องโดยสารตอนหลังของ CX-5 ไม่ได้โปร่งโล่งเท่ากับคู่แข่ง เน้นไปที่ความกระชับในการโดยสารเสียมากกว่า

 

ระบบเสียง Bose พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง ที่ติดตั้งลงใน Mazda CX-5 ถือว่ามีคุณภาพเสียงใช้ได้ทีเดียว ส่วนตัวผู้เขียนเองเป็นคนชอบฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ แน่นๆ ซึ่งเครื่องเสียงชุดนี้ก็ตอบสนองโสตประสาทได้เป็นอย่างดี เนื้อเสียงมีน้ำมีนวล จะเปิดเพลงหรือพอดคาสต์ก็รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง

 

อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกบังลมหน้า (Windshied Active Driving Display), ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold, กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมช่องแอร์หลัง, ระบบปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยว AFS, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 รอบทิศทาง

 

ขณะที่ระบบความปลอดภัย i-ACTIVSENSE ของ Mazda CX-5 2025 ไมเนอร์เชนจ์ ประกอบด้วย

  • LAS - Lane-Keep Assist System
  • DAA - Driver Attention Alert
  • LDWS - Lane Departure Warning System
  • MRCC w. Stop & Go - Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go
  • RCTA - Rear Cross Traffic Alert
  • ABSM - Advanced Blind Spot Monitoring
  • SBS - Smart Brake Support
  • Advance SCBS - Advanced Smart City Brake Support
  • SCBS-R Smart City Brake Support - Reverse
  • ALH - Adaptive LED Headlamps

โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า (CTS - Cruising Traffic Support) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go เพิ่มขึ้นมา หรือพูดง่ายๆ ก็คือแบบ All-speed ที่สามารถลดความเร็วอัตโนมัติได้จนถึง 0 กม./ชม. นั่นเอง

 

อุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มขึ้นแต่ละรุ่นย่อย (เทียบกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์)

รุ่น 2.0 S เพิ่มเติมด้วย

  • ไฟหน้าและไฟท้าย LED Signature ใหม่
  • กระจังหน้าและ Signature Wing ใหม่
  • ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
  • เบาะหนังสีดำ
  • Wireless Apple CarPlay
  • Sport Paddle Shift
  • Hand Free Power Lift Gate

รุ่น 2.0 SP เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 S

  • ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
  • Wireless Charger
  • Cruising Traffic Support
  • MRCC with Stop & Go

รุ่น XDL เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 SP

  • ชุดตกแต่งภายนอกสีเดียวกับตัวรถ
  • ท่อไอเสียขนาดใหญ่
  • เบาะหนัง Nappa สี Deep Red
  • ระบบขับขี่ Off Road พร้อมสวิตช์ Mi-Drive

เครื่องยนต์และช่วงล่าง

รุ่น 2.0 S และ 2.0 SP ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.9 กม./ลิตร รองรับน้ำมัน E85

 

รุ่น XDL ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV AWD อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.9 กม./ลิตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro5

 

ขณะเดียวกันช่วงล่างของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการเสริมคานด้านล่างของห้องโดยสารตอนหลัง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างตัวถัง และมีการเปลี่ยนสปริงและโช้กที่ช่วยลดแรงสะเทือนเข้ามายังห้องโดยสาร เพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

 

การขับขี่

การทดลองขับครั้งนี้ เราได้มีโอกาสจับรุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D 2.2 ลิตร ค่าตัว 1.669 ล้านบาท ซึ่งแอบน่าเสียดายที่ไม่ได้ลองขับตัวเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร เพราะเชื่อว่าน่าจะขายดีกว่ารุ่นดีเซลเป็นแน่แท้

 

โดยที่รุ่น XDL ยังคงมอบอัตราเร่งที่ฉับไว อันเป็นผลมาจากแรงบิดกว่า 450 นิวตัน-เมตร พ่วงเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ช่วยสร้างความเร้าใจในการขับขี่ได้ดีกว่าเกียร์ CVT อย่างเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง

 

ขณะที่รุ่นเบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร แม้ว่าจะไม่มีโอกาสทดลองขับ แต่ด้วยตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่ไม่ต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า ก็พอจะบอกได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งทำได้ดี แต่การเร่งแซงในย่านความเร็วกลางถึงสูงอาจเหี่ยวแห้งไปบ้าง หากเน้นใช้งานในเมืองเป็นหลักก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

 

Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ถือได้ว่าเป็น C-SUV ที่มีช่วงล่างดีที่สุดในตลาด ด้วยการเซ็ตช่วงล่างให้มีลักษณะหนึบแน่น ช่วยลดอาการโคลงที่ความเร็วสูง ขณะเดียวกันก็สามารถเก็บอาการขณะผ่านทางขรุขระได้ดี ไม่ตึงตังจนน่ารำคาญ เหมาะสำหรับพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่ต้องการรถใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป วันไหนอยากจะบู๊สักหน่อย ช่วงล่างของ CX-5 ใหม่ ก็พร้อมจะตอบสนองฝีเท้าในทันที

 

จบทริป กทม. - สัตหีบ รวมระยะทางทั้งสิ้น 175.2 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนหน้าจออยู่ที่ 16.5 กม./ลิตร เทียบกับผู้โดยสาร 3 คน (รวมคนขับ) ความเร็วเดินทางประมาณ 110 - 120 กม./ชม. เกือบตลอดทั้งเส้นทาง ก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย

 

สรุป

Mazda CX-5 2025 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นมาสด้าไว้อย่างครบถ้วน เพิ่มเติมด้วยรูปลักษณะที่สดใหม่ และออปชันเพิ่มความคุ้มค่า ซึ่งการปรับราคาจำหน่ายรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทั้ง 2 รุ่นย่อย อยู่ในระดับราคาไม่ถึง 1.3 ล้านบาท พอจะช่วยให้ CX-5 กลับมาเป็นที่น่าจับตามองได้บ้าง ส่วนรุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร แม้ราคาจะเฉียด 1.7 ล้านบาท แต่หากงบถึงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลที่ทั้งแรงและประหยัด ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้วจากค่ายคู่แข่ง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 22 Jan, 2025
อ่านต่อ

     รถยนต์มีการพัฒนาก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระหว่างนี้เทคโนโลยีที่เริ่มล้าสมัยก็จะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทความนี้ เราจะพาไปรู้จัก 10 ออปชันยอดฮิตในอดีต ที่ปัจจุบันแทบจะหาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

1. ที่จุดบุหรี่

เด็กยุคใหม่อาจรู้จักช่องจ่ายไฟแบบ 12 โวลต์ (แม้ว่าปัจจุบันจะใช้แต่ช่อง USB ก็ตามทีเถอะ) แต่อาจไม่เคยรู้ว่ารถสมัยก่อนจะมีที่จุดบุหรี่เสียบมากับช่องจ่ายไฟด้วย ซึ่งวิธีใช้งานก็ง่ายมาก เพียงแค่กดปุ่มลงไป รอจนกว่าจะเด้งออกมา ก็สามารถนำขดลวดสีแดงร้อนฉ่ามาจุดบุหรี่ได้ทันที

2. กระจกหูช้าง

รถสมัยก่อนสามารถผลักกระจกหูช้างที่ประตูคู่หน้าออกเพื่อระบายอากาศได้ด้วยนะ

3. ที่ปัดน้ำฝนไฟหน้า

ก้านปัดน้ำฝนไฟหน้าส่วนใหญ่จะพบได้ในรถยุโรปเสียมากกว่า เพราะมันมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการปัดหิมะ รวมถึงดินโคลนที่อาจกระเด็นมาเกาะบนไฟหน้าได้

4. ช่องใส่เทป / ซีดี

ปัจจุบันเด็กหลายคนอาจนึกว่าช่องใส่เทปเป็นช่องสำหรับเสียบโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำไป ส่วนช่องใส่ CD ต่อให้มีก็แทบไม่มีใครใช้กันแล้ว นอกจากคุณจะเป็นพวก Audiophile จริงๆ เท่านั้น

5. ไฟหน้า Pop-up

ไฟหน้าแบบ Pop-up ที่สามารถเด้งขึ้น-ลงได้ถือเป็นฟีเจอร์ที่ว้าวมากในสมัยก่อน แต่ด้วยไฟหน้าประเภทนี้ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนาแอโรไดนามิกของรถ เราจึงไม่เจอไฟหน้าแบบป๊อปอัปอีกต่อไปแล้ว

6. กระจกหน้าต่างมือหมุน

หากย้อนกลับไปสัก 30 ปีที่แล้ว กระจกไฟฟ้าถือเป็นออปชันที่มีแต่ในรถหรูๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันหากรถคันไหนยังเป็นกระจกมือหมุนแล้วล่ะก็ รับรองว่าขายไม่ออกอย่างแน่นอน

7. พวงมาลัยธรรมดา

คนยุคปัจจุบันคงเคยชินกับพวงมาลัยพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงกันหมดแล้ว แต่สมัยก่อนรถที่ใช้พวงมาลัยแบบธรรมดา จะเข้าที่จอดรถทีต้องโหนพวงมาลัยกันจนกล้ามขึ้น ยิ่งถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดาด้วยแล้วล่ะก็ เป็นอะไรที่ท้าทายแบบสุดๆ ไปเลย

8. กุญแจแบบเสียบ

ยุคปัจจุบันมีระบบกุญแจไร้สายคู่กับปุ่มสตาร์ทที่เรียกว่าแทบจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานกันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ขณะที่สมัยก่อนกว่าจะขึ้นรถได้ ต้องเดินมาเสียบกุญแจที่ข้างประตู และถ้าคันไหนไม่มีระบบเซ็นทรัลล็อก ก็ต้องเอื้อมสุดแขนไปปลดล็อกประตูให้คนอีกฝั่ง นี่ยังไม่นับรวมว่าการล็อกประตูจะต้องคอยเช็กทุกบานว่าล็อกหมดแล้วหรือยังด้วยนะ

9. ล้อแม็ก 5 วง

หากเป็นสมัยก่อน ล้ออะไหล่ก็คือล้อแม็กดีๆ นี่เอง พูดง่ายๆ คือ รถทุกคันจะมีล้อหน้าตาแบบเดียวกันมาให้ถึง 5 วง (แต่ล้ออะไหล่มักจะไม่มีฝาครอบดุมล้อหรือฝาโลโก้มาให้) ส่วนปัจจุบันมักจะเป็นล้อขนาดพิเศษน้ำหนักเบาสำหรับใช้เป็นล้ออะไหล่โดยเฉพาะ บางรุ่นถึงขั้นมีเฉพาะชุดซ่อมยางเท่านั้น

10. กระจกมองข้างปรับมือ

ปัจจุบันกระจกมองข้างแบบพับมือยังพอมีให้เห็น แต่กระจกข้างแบบปรับด้วยมือถือเป็นของแรร์มากๆ ถึงกระนั้นก็ยังมีก้านปรับในห้องโดยสารมาให้อยู่ แต่หากย้อนไปสัก 30 ปีที่แล้วล่ะก็ การปรับกระจกมองข้างจะต้องยื่นมือออกไปปรับที่ตัวกระจกเลย ยิ่งถ้าปรับกระจกฝั่งคนนั่งด้วยแล้วล่ะก็ ต้องโยกตัวกัน 3-4 รอบกว่าจะได้องศาที่ต้องการ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

✅IHI TURBO 🇯🇵

✅GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 21 Aug, 2024
อ่านต่อ

     แนะนำ 4 อาชีพสำหรับคนมีรถยนต์ส่วนตัว เหมาะสำหรับขับหารายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ เพิ่มช่องทางทำมาหากินก็ได้ หรือจะหันมาประกอบเป็นอาชีพหลักก็ดี มีอะไรบ้าง เราจะพาไปดูกัน

 

4 อาชีพหารายได้สำหรับคนมีรถยนต์

อาชีพที่ 1 รับ - ส่งผู้โดยสาร

อาชีพรับ-ส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ส่วนตัวถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง เพราะสามารถทำเป็นรายได้เสริมนอกเวลางาน หรือจะทำเป็นงานหลักก็ได้เช่นกัน โดยปัจจุบันมีแอปพลิเคชันต่างๆ รองรับมากมาย เช่น GrabCar, Bolt ฯลฯ แต่โดยมากจะต้องเป็นรถที่มีอายุไม่เกิน 9 ปี จึงจะสามารถเข้าร่วมได้

อาชีพที่ 2 ส่งอาหาร - ส่งพัสดุ

หากคุณไม่อยากทำงานบริการที่ต้องคลุกคลีกับผู้โดยสารตลอดเวลาแล้วล่ะก็ จะหันไปรับ-ส่งพัสดุหรืออาหารก็ได้เช่นกัน (แต่แนะนำว่าหากเป็นการรับ-ส่งอาหารควรเลือกเฉพาะพื้นที่ที่การจราจรไม่หนาแน่นหรือตามต่างจังหวัดจะดีกว่า เนื่องจากเป็นอาชีพที่ต้องแข่งกับเวลามากพอสมควร) อีกทั้งผู้ให้บริการแอปพลิเคชันบางรายยังอนุโลมอายุรถสูงสุดถึง 20 ปี

อาชีพที่ 3 เปิดท้ายขายของ - ขายอาหาร

รถเก๋งไม่ว่าจะ 4 ประตู หรือ 5 ประตู ก็สามารถเปิดท้ายขายของหรือขายอาหารได้ทั้งนั้น ขอแค่มีอุปกรณ์พร้อมก็เปิดร้านได้ หลายคนที่เปิดท้ายขายของเริ่มจากการนำข้าวของตัวเองมาขายเป็นของมือสอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของใช้ เครื่องสำอางที่ไม่เคยแกะมาใช้ หรืออะไรก็ตามที่คิดว่าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ เพียงแต่จะต้องหาทำเลที่เหมาะสม มีคนเดินพลุกพล่านไปมา เพื่อเพิ่มโอกาสที่คนจะพบเห็นสินค้าที่นำมาขายนั่นเอง

อาชีพที่ 4 ปล่อยเช่ารถตัวเอง

หากจอดรถทิ้งเอาไว้เฉยๆ แทบไม่เคยนำมาใช้งานเลย ก็สามารถนำรถของตัวเองมาปล่อยเช่ารายวันได้ โดยปัจจุบันแอปพลิเคชัน 2 เจ้าหลักๆ ที่ให้บริการปล่อยเช่ารถตัวเอง คือ HAUP และ Drivemate ซึ่งหากรถที่ปล่อยเช่ามีสภาพดี ตำแหน่งจุดจอดรถอยู่ที่พื้นที่ที่เข้าถึงได้สะดวกจากลูกค้า ก็มีโอกาสปล่อยเช่าได้ง่ายมากขึ้น แต่ต้องดูความคุ้มค่าในระยะยาวด้วยว่าตอบโจทย์มากน้อยแค่ไหน

 

เห็นไหมครับว่ารถเก๋งก็สามารถนำมาประกอบอาชีพหารายได้เสริมได้เช่นกัน เผื่อใครกำลังมองหาช่องทางเพิ่มรายได้อยู่ล่ะก็ จะลองทำอาชีพเหล่านี้ก็ดีไม่น้อยทีเดียวครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 24 Apr, 2024
อ่านต่อ

     XPeng G6 เอสยูวีคูเป้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% เตรียมเผยโฉมในไทยที่งานบางกอกอินเตอร์เนชันแนลมอเตอร์โชว์​ 2024 ราคาเริ่มต้น 209,900 หยวน หรือประมาณ 1 ล้านบาทต้นที่จีน

     XPeng G6 ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ประเทศจีนเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ชูจุดขายด้วยรูปทรงแบบคูเป้เอสยูวี พร้อมแพล็ตฟอร์มไฟฟ้า 800V SiC (Silicon Carbide) ที่รองรับการชาร์จได้เร็วเป็นพิเศษ โดยหากชาร์จผ่านเครือข่ายสถานีซูเปอร์ชาร์จเจอร์ของ XPeng เพียง 10 นาที จะได้ระยะทางขับขี่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 300 กิโลเมตร

 

     ปัจจุบัน XPeng G6 ในตลาดประเทศจีนแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อยหลัก ได้แก่ 580 Long Range ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลังจำนวน 1 ตัว กำลังสูงสุด 218 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.6 วินาที พร้อมแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางขับขี่สูงสุด 580 กิโลเมตรเมื่อชาร์จเต็ม (ตามมาตรฐาน CLTC)

     ขยับขึ้นมาเป็นรุ่น 755 Super-Long Range ที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหลังเช่นเดียวกัน แต่เพิ่มขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เหลือ 5.9 วินาที และเพิ่มระยะทางขับขี่ไกลขึ้นเป็น 755 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มแต่ละครั้ง

 

     ส่วนรุ่นท็อปสุดเป็นรุ่น 700 4WD Performance ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าและหลังข้างละ 1 ตัว ให้กำลังสูงสุดรวม 358 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 660 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.9 วินาที พร้อมแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางขับขี่ไกลสุด 700 กิโลเมตร โดยทั้ง 3 รุ่นสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 202 กม./ชม.

     โครงสร้างตัวถังของ XPeng G6 ถูกพัฒนาให้มีการกระจายน้ำหนักหน้าและหลังแบบ 50:50 พร้อมด้วยเทคโนโลยีขึ้นรูปโครงสร้างด้วยอะลูมิเนียม และการติดตั้งแบตเตอรี่แบบ CIB (Cell Integration Body) ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างเป็นพิเศษ ขณะที่ชุดแบตเตอรี่เองถูกพัฒนาให้สามารถทนความร้อนได้สูงสุดถึง 700 องศาเซลเซียส และผ่านมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่นระดับ IP68 ซึ่ง XPeng ระบุว่าสูงกว่าที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่

 

     ด้านความปลอดภัยได้มีการติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) ที่เรียกว่า XNGP ทำงานผ่านเซ็นเซอร์รอบคันกว่า 31 ตัว โดยจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็น LiDARs จำนวนถึง 2 ตัว ทำงานบนชิปความเร็วสูง NVIDIA DRIVE Orin-X เพื่อให้ตัวรถสามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบคันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

     ขณะที่ห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีความกว้างขวางเป็นพิเศษโดยเฉพาะพื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 14.96 นิ้ว ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Xmart OS4.0 ที่ประมวลผลด้วยชิป Qualcomm Snapdragon SA8155P ซึ่งสามารถโต้ตอบผู้ใช้งานได้คล้ายกับ GPT รวมถึงมีฟังก์ชันสั่งงานด้วยเสียงที่ทำงานได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถอ่านคำสั่งได้ตลอดเวลา และยังใช้งานได้แม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีกด้วย

 

     ส่วนรายละเอียดการทำตลาดในประเทศไทยต่อรอภายหลังจากการเปิดตัวที่งานมอเตอร์โชว์อีกครั้ง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 14 Mar, 2024
อ่านต่อ

     เมื่อคุณมีลูกหรือสัตว์เลี้ยง การเอารถไปล้างไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เลดี้จะมาชวนคุณทำความสะอาดรถยนต์แบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง และยังสามารถได้ใช้เวลาร่วมกับเด็กๆ อีกด้วย

 

สำหรับ 7 ไอเดียนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ทำความสะอาดรถยนต์หรือน้ำยาล้างรถราคาแพง เพื่อให้รถของคุณเงางามก็ได้ เลดี้มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยคืนความแวววาวให้กับรถของคุณ และยังสามารถทำได้ด้วยตัวคุณเอง รวมถึงยังสามารถใช้เวลาว่างทำกิจกรรมในครอบครัวกับลูกๆ ของคุณได้อีกด้วย 

1. เก็บแปรงแต่งหน้าและแปรงสีฟันเก่าไว้ให้ดี

วิธีที่จะเข้าไปในช่องระบายอากาศหรือบริเวณซอกมุมต่างๆ ที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ การใช้แปรงขนาดเล็กคือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งสำคัญก่อนนำมาใช้ทำความสะอาดรถก็คือ ควรเช็คให้แน่ใจก่อนว่ามันสะอาดและปราศจากสีของ Make up แล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นรถของคุณจะถูกเปลี่ยนสีไปเลยทันที ซึ่งแปรงเหล่านี้สร้างมาเพื่อเป็นเครื่องมือทำความสะอาดชิ้นเล็กๆ ที่สมบูรณ์แบบ

2. ใช้ไม้กวาดหุ้มด้วยยาง เพื่อทำความสะอาดขนสัตว์

หากคุณเป็นคนที่รักสัตว์ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาหรือน้องแมวก็ตาม คุณจะพาน้องไปเที่ยวด้วยตลอดเวลา และหลังจากนั้นคุณจะต้องมานั่งปวดหัวกับขนที่ร่วงรุงรังอยู่บนเบาะ (หากเบาะรถยนต์ของคุณเป็นกำมะหยี่หรือเบาะผ้า) แทนที่จะใช้ผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดเพื่อที่จะทำความสะอาดเบาะเหล่านั้น ให้เติมน้ำลงในกระบอกฉีดสเปรย์หรือ Foxy Sparyer จากนั้นฉีดลงที่เบาะเพียงเล็กน้อย แล้วใช้ไม้กวาดหุ้มด้วยยางเช็ดออก คุณจะประหยัดเวลาไปได้มากๆ เลย และไม่ต้องกังวลว่าเบาะจะเปียกชื้นและเหม็นอับอีกด้วย 

3. ใช้น้ำส้มสายชูและเบกกิ้งโซดาทำความสะอาดเบาะ

คุณอยากทำความสะอาดเบาะรถยนต์ที่เป็นวัสดุที่ทำจากผ้าอย่างล้ำลึกใช่มั้ย? ให้คุณใช้น้ำส้มสายชูผสมกับเบกกิ้งโซดาแล้วถูไปที่เบาะ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง คุณจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไม่เพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยลดกลิ่นเหม็นออกจากรถยนต์ของคุณได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

4. ใช้น้ำมันมะกอกเช็ดแผงหน้าปัด

หนึ่งในเคล็ดลับที่จะช่วยให้แดชบอร์ดของคุณดูเงางามอยู่เสมอ ก็คือการเติมน้ำมันมะกอกเพียงเล็กน้อยลงบนผ้า แล้วเช็ดไปที่แผงหน้าปัด เพราะน้ำมันมะกอกจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวบริเวณหน้าปัด และยังช่วยให้ไม่เกิดรอยแตกร้าวอีกด้วย 

5. ใส่ถ้วย Cupcake Liners ลงในที่วางแก้ว

เลดี้ชอบเทคนิคอันนี้มาก เพราะเห็นได้ชัดว่าบริเวณที่วางแก้วน้ำบนรถยนต์จะมีคราบน้ำหรือรอยเปื้อนที่เช็ดไม่ออก อาจจะเกิดขึ้นจากน้ำหวานที่หยดลงมาและทิ้งไว้นานเกินจนเกรอะกรัง ดังนั้นควรหาแผ่นรองหรือถ้าไม่มีคุณจะใช้ถ้วย Cupcake Liners แทนก็ได้ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการทำหกเลอะรถของคุณ อีกทั้งยังช่วยป้องกันฝุ่นเกาะบริเวณนั้นอีกด้วย ซึ่งมันทำความสะอาดยากมากๆ  

6. ใช้กระปุกวิตามินมาทำเป็นถังขยะ

หากบ้านไหนชอบทานวิตามินหรือแคลเซียมจะรู้ดีว่ากระปุกพวกนี้มีขนาดใหญ่มากๆ และมันก็รกบ้านเมื่อทานหมด เลดี้ขอแนะนำให้ทำความสะอาดแล้วนำมา Reuse อีกครั้ง โดยการดัดแปลงให้เป็นถังขยะแล้วมาตั้งไว้บริเวณเบาะหลัง และจากนี้ไปลูกๆ ของคุณจะได้ไม่โยนเศษขยะทิ้งไว้ทั่วรถอีกแล้ว 

7. กำจัดคราบแมลงหน้ารถแบบง่ายๆ

บ้านใครอยู่ต่างจังหวัดน่าจะต้องคุ้นชินกับตัวแมลงที่มักโผล่มาในเวลากลางคืน วิ่งชนหน้ากระจกรถของเราและทำให้น้ำมันในตัวของแมลงติดหนึบอยู่ที่กระจก ยิ่งล้างด้วยน้ำเปล่ายิ่งเลอะ ยิ่งมองไม่เห็น นอกจากจะติดที่กระจกหน้ารถแล้วยังลามไปติดที่ฝากระโปรงรถอีกด้วย ดังนั้นอย่าทำลายสีรถของคุณด้วยการขัดหรือเกาแรงๆ เพื่อที่จะเอาแมลงออกจากฝากระโปรงหน้า ให้ฉีดสเปรย์น้ำมันพืชลงไปบริเวณที่มีแมลงแล้วทิ้งเวลาไว้ซักครู่ หลังจากนั้นเช็ดออกด้วยผ้านุ่มๆ เพียงเท่านี้ตัวแมลงที่ติดหนึบอยู่ก็จะออกไปอย่างง่ายดาย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 01 Feb, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.