×
บล็อก
แสดง รายการ

     ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือ Cruise Control เริ่มติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถรุ่นใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายเมื่อขับขี่ทางไกลได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนยังมีข้อสงสัยว่าการเปิดระบบครูซคอนโทรล จะทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากกว่าหรือน้อยกว่าการเลี้ยงคันเร่งด้วยตัวเอง บทความนี้ เราจะพาไปหาคำตอบกัน

 

     ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) เป็นฟังก์ชันที่ช่วยให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามความเร็วที่กำหนดไว้โดยอัตโนมัติ ผู้ขับขี่จึงไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งค้างไว้ตลอดเวลา และเมื่อใดก็ตามที่ผู้ขับขี่มีการแตะเบรก ระบบดังกล่าวจะตัดการทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย

 

     ขณะที่รถยุคใหม่มีการอัปเกรดเป็นระบบ Adaptive Cruise Control ซึ่งใช้กล้องหรือเรดาร์ในการตรวจจับรถที่อยู่ด้านหน้า และจะปรับความเร็วตามรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องแตะเบรกเมื่อรถคันหน้าชะลอความเร็วลง และจะกลับไปใช้ความเร็วที่ตั้งไว้อีกครั้งโดยอัตโนมัติเมื่อทางโล่ง

 

เปิด Cruise Control ช่วยประหยัดน้ำมันได้หรือไม่?

     คำถามที่ว่าการเปิดใช้งานระบบ Cruise Control (เอาเฉพาะระบบ Cruise Control ปกติที่ไม่ใช่ระบบปรับความเร็วอัตโนมัติตามคันหน้า) จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเมื่อเทียบกับการเลี้ยงคันเร่งด้วยตัวเองหรือไม่นั้น อันที่จริงแล้วไม่มีคำตอบที่ตายตัว เนื่องจากมีความเป็นไปได้ทั้ง 2 กรณี ทั้งเปลืองน้ำมันกว่าและประหยัดน้ำมันกว่า โดยมีเหตุผลหลักๆ อันจะกล่าวถึงดังต่อไปนี้

กรณีแบบไหนที่ Cruise Control ประหยัดน้ำมันมากกว่า?

     หากเป็นการขับรถบนทางเรียบ สภาพการจราจรคล่องตัว ไม่มีรถตัดหน้าไปมา อันเป็นเหตุให้ต้องแตะเบรกอยู่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ การเปิดใช้ระบบ Cruise Control จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่า เนื่องจากหัวใจหลักของการขับประหยัดขณะขับขี่ทางไกล คือการประคองความเร็วให้คงที่สม่ำเสมอ ไม่เพิ่มหรือลดความเร็วโดยไม่จำเป็น ซึ่งระบบครูซคอนโทรลสามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยขจัด Human Error ที่อาจเผลอเพิ่มน้ำหนักเท้าขวาโดยไม่ตั้งใจได้

 

แล้วกรณีแบบไหนที่ Cruise Control กินน้ำมันมากกว่า?

     หากเป็นการขับขี่บนถนนที่มีเนินชันสลับขึ้นลงไปมา หรือถนนที่มีลมพัดแรง กรณีเช่นนี้การเปิดใช้งานระบบ Cruise Control จะทำให้รถกินน้ำมันมากกว่า เนื่องจากระบบจะคอยรักษาความเร็วให้ได้ตามที่ตั้งไว้ตลอดเวลา แตกต่างจากการควบคุมโดยมนุษย์ที่จะยังคงเหยียบคันเร่งเท่าเดิม แล้วปล่อยให้ความเร็วค่อยๆ ลดลงเล็กน้อยแทน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้รถกินน้ำมันน้อยกว่า

แล้วมีวิธีไหนอีกที่จะช่วยประหยัดน้ำมันได้?

     การขับรถประหยัดน้ำมันสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงปฏิบัติตามข้อแนะนำ 5 ข้อ ดังนี้

 

     1. ไต่ระดับความเร็วอย่างช้าๆ - หลีกเลี่ยงการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง หากเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ควรประคองคันเร่งให้เกียร์เปลี่ยนที่รอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,800 - 2,500 รอบต่อนาที ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลไม่ควรเกิน 2,000 รอบต่อนาที ก็เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานโดยทั่วไป

     2. รักษาความเร็วคงที่ - ความเร็วที่ประหยัดน้ำมันที่สุดจะอยู่ในช่วง 90 - 100 กม./ชม. พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการเพิ่มหรือลดความเร็วโดยไม่จำเป็น เว้นระยะห่างระหว่างรถคันหน้าให้มากขึ้น วิธีนี้จะช่วยลดการแตะเบรกลงได้

     3. ตรวจสอบลมยางสม่ำเสมอ - การปล่อยให้ลมยางอ่อนเกินไป จะทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้นได้ แต่หากต้องการความประหยัดเพิ่มขึ้น สามารถเติมลมยางมากกว่าที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ประมาณ 2 - 4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) จะช่วยลดแรงต้านทานของยางได้ โดยไม่ทำให้รถกระด้างมากจนเกินไป

     4. เพิ่มอุณหภูมิแอร์ให้อุ่นขึ้นเล็กน้อย - ระบบปรับอากาศต้องใช้พลังงานมากในการทำความเย็น จึงควรปรับแอร์ให้เย็นแต่พอดี จะช่วยลดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ และลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ลงได้มาก

     5. วางแผนเส้นทางล่วงหน้าเสมอ - ตรวจสอบเส้นทางรถติดผ่าน Google Maps รวมถึงเลือกใช้เส้นทางที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการใช้ทางลัดโดยไม่จำเป็น เพราะทางลัดโดยส่วนมากจะมีขนาดเล็ก หรือตัดผ่านชุมชน ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการขับขี่ที่ทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น

 

     หวังว่าเคล็ดลับทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะช่วยให้คุณขับรถได้ประหยัดน้ำมันขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 22 Jul, 2024
อ่านต่อ

     แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า (BEV) จะมีมาตรฐานการป้องกันความเสียหายของแบตเตอรี่จากน้ำและฝุ่น (เช่น IP67, IP68 และอื่นๆ) แต่ปัจจุบันกลับมีข่าวรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความเสียหายหลังลุยน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง บางกรณีแค่จอดแช่น้ำท่วมขังเฉยๆ ก็ถึงขั้นพังได้แล้ว ก่อให้เกิดคำถามว่าแท้จริงแล้วนั้น รถยนต์ไฟฟ้าสามารถลุยน้ำได้หรือไม่? บทความนี้ เราจะพาไปหาคำตอบกัน

 

รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ลุยน้ำได้หรือไม่?

     เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นคลิปต่างประเทศ ที่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถขับลุยน้ำลึกได้อย่างไร้ปัญหา ขณะที่รถยนต์สันดาปกลับจอดตายกันเป็นแถว แต่เมื่อตัดภาพมาที่บ้านเรากลับพบว่ารถยนต์ไฟฟ้าหลายคันเจอปัญหาไม่สามารถใช้งานได้หลังจากขับรถลุยน้ำมา หรือเพียงแค่จอดรถตากฝนไว้หน้าบ้านก็สร้างความเสียหายได้แล้ว

     โดยปกติแล้วรถยนต์สันดาปไม่ว่าจะเบนซินหรือดีเซล จำเป็นต้องใช้อากาศในการเผาไหม้ หากว่ามีน้ำเล็ดลอดเข้าไปยังห้องเผาไหม้แล้วล่ะก็ จะทำให้ระบบเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้รับความเสียหาย เครื่องยนต์ดับกลางอากาศ และอาจร้ายแรงถึงขั้นก้านสูบคดหรือหัก ซึ่งหลายกรณีพบว่ามีค่าใช้จ่ายสูงไม่คุ้มค่ากับการซ่อม จนถึงขั้นแนะนำให้เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ไปเลยจะดีกว่า

     ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีระบบเผาไหม้เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงสามารถขับรถลุยน้ำได้โดยไม่ทำให้รถดับ อย่างไรก็ดี การขับรถยนต์ไฟฟ้าลุยน้ำถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย และไม่แนะนำให้ปฏิบัติเว้นแต่มีความจำเป็นจริงๆ เพราะแม้ว่าชิ้นส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะแบตเตอรี่จะถูกซีลเป็นอย่างดี และผ่านมาตรฐานการกันน้ำอันเข้มงวด แต่การใช้งานจริงอาจแตกต่างจากการทดลองในห้องแล็บ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ายังมีชิ้นส่วนและเซ็นเซอร์อีกมากที่อาจได้รับความเสียหายในระยะยาวได้ จึงไม่ควรขับรถไฟฟ้าลุยน้ำหากไม่จำเป็น

     ทั้งยังเป็นที่น่าสังเกตว่ารถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน มักพับปัญหาได้มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากฝั่งอเมริกันและยุโรป จริงอยู่ที่ยอดขายรถ EV จีนสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าชาติอื่นๆ หลายเท่าตัวนัก แต่ก็สร้างความน่ากังวลไม่น้อยว่าแท้จริงแล้วรถยนต์ไฟฟ้าจีนเหล่านี้ ได้รับการทดสอบอย่างครอบคลุมดีพอสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแตกต่างไปจากประเทศบ้านเกิดอย่างประเทศไทยแล้วหรือยัง?

 

     หากกล่าวโดยสรุปแล้วรถยนต์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์สันดาป ไม่แนะนำให้ขับลุยน้ำเว้นแต่มีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มักจะเต็มไปด้วยจุดเชื่อมต่อและเซ็นเซอร์จำนวนมาก ซึ่งอาจสร้างความเสียหายได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 22 Jul, 2024
อ่านต่อ

     ปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะรถกลุ่ม SUV และ MPV มีการติดตั้งระบบประตูท้ายไฟฟ้าเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมรถบางรุ่นถึงมีปุ่มปิดประตูท้าย 2 ปุ่ม แล้วอีกปุ่มมีหน้าที่ทำอะไร? บทความนี้ เราจะพาไปหาคำตอบกัน

 

ทำไมปุ่มปิดประตูท้ายถึงมี 2 ปุ่ม

     รถยนต์บางรุ่นที่มีระบบประตูท้ายไฟฟ้า หากลองสังเกตดีๆ จะพบว่ามีปุ่มปิดประตูถึง 2 ปุ่ม ซึ่งส่วนมากจะพบได้ในรถที่มีราคาสูงขึ้นมาหน่อย โดยปุ่มหนึ่ง (ส่วนมากจะเป็นปุ่มทางซ้าย) จะใช้สำหรับการกดปิดประตูตามปกติ ส่วนอีกปุ่มที่อยู่ทางด้านขวามือ จะใช้สำหรับการปิดฝาท้ายและล็อกรถให้โดยอัตโนมัติ

     วิธีการใช้งานก็ง่ายมาก เพียงปิดประตูให้สนิททุกบาน จากนั้นเมื่อเสร็จธุระท้ายรถแล้ว ให้กดปุ่มปิดฝาท้ายที่มีสัญลักษณ์รูปล็อกประตู จากนั้นเมื่อประตูท้ายปิดสนิท รถจะทำการล็อกให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งบางรุ่นอาจมีไฟกะพริบเพื่อยืนยันว่ารถได้ทำการล็อกแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่มล็อกประตูซ้ำอีก

 

     ดังนั้น หากใครพบว่ารถของคุณมีปุ่มปิดประตูท้ายแบบ 2 ปุ่ม ก็อย่าลืมใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 22 Jul, 2024
อ่านต่อ

     หน้าร้อนเมืองไทย อุณหภูมิสูงสุดกว่า 44 องศา แค่เดินยังเหงื่อชุ่ม ไม่เว้นกระทั่งจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน ความร้อนระอุก็จะสะสมอยู่ในรถยนต์ เรามีวิธีระบายความร้อนในรถยนต์มาฝาก

 

จอดรถตากแดด ระบายความร้อนในรถได้ยังไงบ้าง

1. เปิดประตู-หน้าต่าง ระบายอากาศ

     เปิดประตู หน้าต่างรถยนต์ทิ้งไว้ เพื่อระบายความร้อนที่อยู่ภายในรถ หลังจากนั้นให้ เปิด-ปิดประตูฝั่งคนขับหลายๆ ครั้ง เพื่อช่วยทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น

 

2. ลดกระจกลงเล็กน้อย

     เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดดได้ แนะนำให้ลดกระจกรถยนต์ เอาไว้นิดหนึ่ง ช่วยทำให้อากาศถ่ายเทสะดวก และช่วยระบายอากาศภายในรถไม่ให้ร้อน

 

3. ติดฟิล์มกันความร้อน

     ให้ติดฟิล์มที่กระจก รวมถึงฉนวนกันความร้อนบนหลังคารถ ช่วยป้องกันแสงแดดจากภายนอก ไม่ให้เข้ามาภายในรถยนต์ได้ในระดับหนึ่ง

4. ใช้ม่านบังแดด หรือผ้าคลุมรถที่มีมาตรฐาน

     ใช้ม่านบังแดดรถยนต์ ติดที่กระจกทุกบานไม่ว่าจะเป็นกระจกหน้า กระจกข้าง กระจกหลัง เลือกม่านบังแดดที่เข้ารูป สามารถติดหน้าได้เต็มบาน เพื่อกันให้แสงเล็ดลอดเข้ามาได้น้อยที่สุด ที่สำคัญควรเลือกม่านที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถ หรือจะใช้ผ้าคลุมรถที่มีมาตรฐาน คลุมรถได้ทั้งคัน สามารถสะท้อนแสงได้

 

     การจอดรถตากแดด ทำให้เกิดความร้อนระอุภายในรถยนต์แล้ว ยังส่งผลเสียทำให้รถสีซีด เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายรวมถึงอุปกรณ์ภายในรถเสื่อมสภาพ เพราะฉะนั้นหากมีความจำเป็นต้องจอดรถกลางแดด หรือมีสภาพอากาศที่ร้อนระอุควรป้องกันไม่ให้รถยนต์เกิดความเสียหาย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก autospinn.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 22 Jul, 2024
อ่านต่อ

     หลายคนเริ่มทยอยเดินทางกลับจากต่างจังหวัดช่วงเทศกาลสงกรานต์กันแล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่าหลังจากขับรถทางไกล ก็จำเป็นจะต้องเช็กรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเช่นกัน จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในอนาคต จะต้องตรวจเช็กตรงไหนเป็นพิเศษบ้าง เราจะเฉลยคำตอบให้อ่านกัน

1. เช็กของเหลวในห้องเครื่องยนต์

     ควรเปิดฝากระโปรงหน้ารถเพื่อตรวจเช็กระดับของเหลวต่างๆ ว่ายังคงได้ระดับตามที่กำหนดไว้ และไม่มีสีหรือกลิ่นผิดแปลกไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเบรก, น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ฯลฯ หากพบว่ามีการพร่องหรือมีสีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ควรรีบนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการทันทีเพื่อป้องกันปัญหาลุกลามบานปลาย

2. เช็กน้ำยาหล่อเย็น

     เนื่องจากช่วงเดือนเมษายนเป็นเดือนที่มีสภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ต้องทำงานอย่างหนักเช่นกัน จึงควรตรวจเช็กเบื้องต้นด้วยการดูระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพักว่ายังคงปกติ และไม่มีสีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หากพบว่าน้ำยาหล่อเย็นในกระปุกพักหายไปจนหมดเกลี้ยง ให้รีบตรวจเช็กระดับน้ำในหม้อน้ำว่ายังคงมีเหลืออยู่ไม่ หากพบว่าระดับน้ำพร่องควรรีบเติมน้ำยาหล่อเย็นโดยทันที และนำรถเข้าอู่เพื่อตรวจสอบการรั่วซึมและซ่อมแซมต่อไป

     อีกกรณีหนึ่งคือพบว่าน้ำหล่อเย็นแปรสภาพเป็นลักษณะข้น ประกอบกับมีสีผิดปกติคล้ายชานม บ่งบอกว่าฝาสูบอาจโก่งจนทำให้น้ำมันเครื่องเข้าไปผสมกับระบบหล่อเย็น ลักษณะเช่นนี้ให้หยุดใช้รถทันที และนำขึ้นรถสไลด์เพื่อเข้าอู่ต่อไป

3. เช็กคราบสกปรกและริ้วรอยต่างๆ

     หากรถมีคราบน้ำและดินสอพองติดอยู่จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ควรรีบล้างให้สะอาดก่อนนำรถไปใช้งาน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้สีรถเป็นรอยด่าง ไม่สามารถล้างออกด้วยน้ำหรือแชมพูปกติได้ อีกทั้งยังควรตรวจสอบริ้วรอยจากการเฉี่ยวชนรอบคัน เพื่อวางแผนในการเคลมประกันหรือซ่อมแซมต่อไป

4. เช็กลมยางและสภาพยาง

     ตรวจเช็กระดับแรงดันลมยางทุกล้อ เพื่อดูว่ามียางเส้นไหนรั่วซึมหรือไม่ ซึ่งโดยมากแล้วหากขับรถเหยียบตะปูและยังคงฝังอยู่ในเนื้อยาง ลมยางจะค่อยๆ ซึมออกทีละน้อยโดยผู้ขับขี่อาจไม่รู้ตัว ให้รีบนำรถเข้ารับการปะยางหรือพิจารณาเปลี่ยนยางเส้นใหม่ต่อไป จะได้ไม่เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาในอนาคตการตรวจเช็กสภาพรถเหล่านี้แม้ว่าจะดูเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่หากรถมีอาการผิดปกติก็จะช่วยให้เจ้าของรถรับทราบถึงปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ลุกลามบานปลายเสียค่าซ่อมมากมายโดยไม่จำเป็นครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 22 Jul, 2024
อ่านต่อ

     ช่วงนี้บ้านเราตื่นตัวเรื่องของสภาพมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ที่ปัญหาเรื่องฝุ่นมลพิษ ซึ่งทราบหรือไม่ว่า ต้นเหตุของมลพิษทางอากาศเหล่านี้ เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากยานพาหนะที่ใช้กันบนท้องถนน เราจะพาไปหาคำตอบกันว่า รถยนต์ประเภทใดปล่อยมลพิษมากที่สุด และช่วงเวลาใดที่ไอเสียจากรถยนต์ทำร้ายคุณมากที่สุด

 

     ผลการวิจัยจากสถาบันคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (EPA) ระบุว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของมลพิษคาร์บอนมอนอกไซด์เกิดจากรถยนต์ นอกจากนี้ยังยืนยันด้วยว่า 1 ใน 3 ของมลพิษที่รวมถึงฝุ่นละอองและควันในอากาศมาจากรถยนต์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองและถนนสายหลัก ซึ่งเป็นหาดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันกับทุกประเทศทั่วโลก

รถดีเซล ปล่อยมลพิษ มากกว่าเบนซินจริงหรือ

     อันตรายจากมลพิษจากรถยนต์ แม้จะเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่างชนิดกันในการเผาไหม้ แต่ทั้งเบนซิน และดีเซล ก็ส่งผลเสียต่อชั้นบรรยากาศในระดับตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน ทั้งการปล่อยก๊าซ คาร์บอนมอนอกไซด์ และ ฝุ่นมลพิษ 2.5 ไมครอน โดยหากแยกเป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษยืนยันว่า รถเครื่องยนต์เบนซิน จะปล่อยก๊าซชนิดดังกล่าวออกมามากกว่ารถเครื่องยนต์ดีเซล

     แต่หากเจาะจงไปที่ ฝุ่นมลพิษ 2.5 ไมครอน จะพบว่า รถเครื่องยนต์ดีเซลจะปล่อยมลพิษชนิดนี้ออกมามากกว่ารถเบนซิน อย่างไรก็ดี บนท้องถนนมีรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั้ง 2 ชนิดอยู่ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ฉะนั้นไม่ว่าจะรถยนต์ประเภทไหน สิ่งที่ควรกระทำมากที่สุดคือ ควรหลีกเลี่ยงอากาศบริเวณที่มีการจราจรติดขัดนั่นเอง

 

จริงหรือไม่ จอดรถติดเครื่องปล่อย “มลพิษ” มากที่สุด

     ในเมื่อรถยนต์ ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล ก่อให้เกิดมลพิษในอากาศโดยรวมในระดับใกล้เคียงกัน รู้หรือไม่ว่าช่วงเวลาใดที่ รถยนต์จะปล่อยไอเสียออกมาและเป็นอันตรายมากที่สุด โดยหากเป็นรถยนต์เครื่องดีเซล ช่วงที่อันตรายที่สุดคือช่วงที่รถกำลังเร่งความเร็วและปล่อยควันดำออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่บรรทุกหนักเกินกำลังเครื่องยนต์

     ส่วนรถยนต์เครื่องเบนซินนั้น จะปล่อยก๊าซพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ ออกมามากที่สุดขณะที่รถจอดติดเครื่องเดินเบา และจอดนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งนั่นเป็นที่มาของคำเตือนที่ควรหลีกเลี่ยงอากาศบริเวณที่การจราจรที่ติดขัด รวมถึงคำเตือนที่ห้ามจอดรถเปิดแอร์นอนอย่างเด็ดขาด เพราะมีโอกาสที่คาร์บอนมอนอกไซด์จะหลุดเข้ามาอยู่ในระบบแอร์ของรถคุณและเป็นอันตรายถึงชีวิตตามที่เป็นข่าวกันมาแล้วก่อนหน้านี้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 22 Jul, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2024 Vevo Systems Co., Ltd.