×
บล็อก
แสดง รายการ

ไขข้อข้องใจ! ยางรถยนต์ "มียางใน" หรือไม่?

หลายๆคนที่ขับรถอยู่เป็นประจำ อาจเคยมีคำถามง่าย ๆ ที่ค้างคาใจว่า ยางรถยนต์ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ยังคงมี “ยางใน” เหมือนกับรถจักรยานที่เคยใช้ในวัยเด็กหรือไม่ ซึ่งในยุคที่เทคโนโลยียานยนต์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทุกชิ้นส่วนได้ถูกออกแบบใหม่เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยสูงสุดของผู้ขับขี่

 

คำถามว่า "รถยนต์ของฉันมียางในหรือไม่" จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่ติดตั้งอยู่ใต้รถของคุณนั่นเอง โดยเฉพาะเรื่องของยางรถยนต์ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและความปลอดภัยบนท้องถนน

 

ไขคำตอบ รถยนต์มียางในไหม?

คำตอบที่ถูกต้องที่สุดคือ รถยนต์มีทั้งแบบที่ใช้ยางในและแบบที่ไม่ใช้ยางใน ครับ แต่ในปัจจุบัน ยางแบบไม่มียางใน จะมีให้เห็นมากกว่า เนื่องจากเป็นมาตรฐานใหม่ที่เข้ามาแทนที่ระบบยางแบบเก่าที่ต้องพึ่งพายางในในการกักเก็บลม พร้อมทั้งยังตอบโจทย์การใช้งาน และเสริมความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนอีกด้วย จึงเป็นสาเหตุที่ในปัจจุบัน ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้ยางแบบมียางในกันแล้วนั่นเอง

 

เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย: ยางแบบไม่มียางใน vs. ยางแบบมียางใน

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น นี่คือการเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของยางทั้งสองประเภท:

 

คุณสมบัติ              ยางแบบไม่มียางใน (Tubeless Tire)  ยางแบบมียางใน (Tube Tire)

โครงสร้าง/ความทนทาน        เนื้อยางและโครงสร้างหนาและแข็งแรง มีความยืดหยุ่นสูง (จากการใช้ยางใน)

ความปลอดภัย (เมื่อรั่ว)        สูง: ลมรั่วซึมช้า (ค่อย ๆ แฟบ) ยังสามารถขับรถต่อไปได้สักระยะ       ต่ำ: ลมรั่วไหลเร็ว หากของมีคมแทงลึกถึงยางใน ทำให้ควบคุมรถได้ยาก

การจัดการความร้อน             ดีกว่า: ระบายความร้อนได้ดี น้ำหนักเบา ลดความเสี่ยงยางระเบิด    ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ: การเสียดสีของยางนอกและยางในเสี่ยงต่อความร้อนสูง/ยางรั่ว

การดูแลรักษา        ดูแลรักษาง่าย เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะมีประสิทธิภาพดีต่อการขับขี่           ต้องหมั่นตรวจสภาพลมยางและเติมลมยางบ่อย ๆ ไม่ให้ยางอ่อนเกินไป

ราคา/ค่าบริการปะยาง           ราคาสูงกว่ายางธรรมดา แต่ผู้ใช้ยอมลงทุนเพื่อซื้อความปลอดภัย      ราคาถูกกว่า ค่าบริการปะยางทำได้ง่ายและราคาถูก

 

     สรุปได้ว่า ในปัจจุบัน ยางรถยนต์ส่วนใหญ่เป็นแบบไม่มียางใน (Tubeless Tire) เพราะมีความปลอดภัยสูงกว่า ระบายความร้อนได้ดี และดูแลรักษาง่ายกว่ายางแบบเก่า แม้จะมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นใจและปลอดภัยในการขับขี่ทุกครั้งบนท้องถนน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 11 Nov, 2025
อ่านต่อ

เจาะลึก "ลิ้นปีกผีเสื้อ" (Throttle Body) ส่วนควบคุมสำคัญที่มือใหม่หัดขับควรรู้

สำหรับผู้ใช้รถยนต์หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า "ลิ้นปีกผีเสื้อ" (Throttle Body) แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าชิ้นส่วนนี้มีหน้าที่อะไร บทความนี้จะพาไปเจาะลึกความสำคัญและการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในระบบเครื่องยนต์ ที่ส่งผลโดยตรงต่อกำลัง การเร่ง และความประหยัดน้ำมันของรถยนต์คุณ

 

ลิ้นปีกผีเสื้อคืออะไร?

ลิ้นปีกผีเสื้อ หรือที่ช่างเรียกว่า "เรือนลิ้นเร่ง" คือชิ้นส่วนสำคัญที่ติดตั้งอยู่ระหว่างกรองอากาศและเครื่องยนต์ ซึ่งเปรียบเสมือนวาล์วควบคุมอากาศบริสุทธิ์ ตัววาล์วมีลักษณะคล้ายผีเสื้อที่สามารถเปิดและปิดได้ ทำหน้าที่เป็นประตูหลักในการกำหนดปริมาณอากาศที่ไหลเข้าสู่ห้องเผาไหม้

 

ลิ้นปีกผีเสื้อทำงานอย่างไร?

กลไกการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ คือ เมื่อผู้ขับขี่เหยียบคันเร่ง สัญญาณจะถูกส่งไปยัง กล่องควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองกลของรถ ECU จะประมวลผลความต้องการกำลังและสั่งการให้มอเตอร์หรือกลไกของลิ้นปีกผีเสื้อ เปิด หรือ ปิด วาล์วเพื่อควบคุมปริมาณอากาศบริสุทธิ์ที่ไหลเข้าสู่เครื่องยนต์

     หากเป็นการ เร่งแซงหรือขับเร็ว ลิ้นปีกผีเสื้อจะ เปิดกว้างขึ้น ให้อากาศไหลเข้าได้เต็มที่ ในทางกลับกัน หากเป็นการ ขับช้าหรือรอบเดินเบา ลิ้นปีกผีเสื้อจะ เปิดเพียงเล็กน้อย เพื่อจำกัดปริมาณอากาศ ปริมาณอากาศที่ไหลเข้าจะถูกวัดอย่างแม่นยำและใช้เป็นข้อมูลให้ ECU คำนวณและสั่งฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงในสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด (Air-Fuel Ratio) เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์และได้กำลังเครื่องยนต์ตามที่ต้องการ

 

ลิ้นปีกผีเสื้อสำคัญกับรถยนต์อย่างไร?

ลิ้นปีกผีเสื้อมีความสำคัญโดยตรงต่อประสิทธิภาพการขับขี่ในทุกด้าน เนื่องจากทำหน้าที่ควบคุมปริมาณอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ โดยมีบทบาทหลักดังนี้:

  • ควบคุมกำลังและอัตราเร่ง: เป็นตัวกำหนดว่าเครื่องยนต์จะสร้างกำลังได้มากน้อยเพียงใด และทำให้รถ ตอบสนองต่อการเหยียบคันเร่ง ได้รวดเร็วและแม่นยำ
  • รักษารอบเดินเบาให้คงที่: ควบคุมการเปิด-ปิดในตำแหน่งที่แม่นยำที่สุดเมื่อรถอยู่ในรอบเดินเบา ทำให้เครื่องยนต์ ทำงานได้อย่างนิ่งและต่อเนื่อง ไม่สั่นหรือดับ
  • เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน: ช่วยให้การควบคุมปริมาณอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดความสมดุล (เผาไหม้สมบูรณ์) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การ ประหยัดเชื้อเพลิง
  • ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การเผาไหม้เชื้อเพลิงที่สมบูรณ์ตามสัดส่วนที่เหมาะสม ยังช่วย ลดการปล่อยก๊าซพิษ และมลพิษจากท่อไอเสีย

สรุปโดยง่ายๆ ลิ้นปีกผีเสื้อ (Throttle Body) คือ วาล์วควบคุมอากาศ ที่สำคัญอย่างยิ่งในระบบเครื่องยนต์ มันทำหน้าที่เป็น ประตู ในการกำหนดปริมาณอากาศที่เข้าสู่เครื่องยนต์ โดยทำงานสัมพันธ์กับการเหยียบคันเร่งของผู้ขับขี่ ดังนั้น การดูแลรักษาลิ้นปีกผีเสื้อให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้รถทุกคนควรรู้และใส่ใจครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 11 Nov, 2025
อ่านต่อ

ถุงลมนิรภัย (Airbag) ในรถยนต์ มีตรงไหนบ้าง? ไม่ได้มีแค่ด้านหน้า!

ถุงลมนิรภัย หรือ Airbag คืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่สำคัญมากในรถยนต์ยุคปัจจุบัน ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ามีอยู่แค่คู่หน้าเท่านั้น แต่ความจริงแล้วระบบป้องกันนี้ถูกพัฒนาให้ปกป้องผู้โดยสารเกือบทุกส่วนของร่างกาย การทำความเข้าใจตำแหน่งและจำนวนถุงลมนิรภัยในรถจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันหมายถึงความปลอดภัยสูงสุดของคนที่คุณรัก

 

ถุงลมนิรภัยคืออะไร ทำไมถึงช่วยชีวิตได้

ถุงลมนิรภัย คืออุปกรณ์เสริมความปลอดภัยที่ถูกออกแบบมาให้พองตัวออกมารองรับร่างกายอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มันช่วยลดแรงกระแทกบริเวณศีรษะและหน้าอกของผู้โดยสาร ป้องกันไม่ให้ส่วนสำคัญของร่างกายปะทะเข้ากับส่วนที่เป็นของแข็งภายในรถ เช่น พวงมาลัย หรือแผงคอนโซล ทำให้บาดเจ็บน้อยที่สุด

ถุงลมนิรภัยทำงานอย่างไร

ระบบถุงลมนิรภัยทำงานด้วยกลไกอิเล็กทรอนิกส์ที่รวดเร็วมาก โดยใช้เวลาพองตัวเต็มที่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น หลักการทำงานมาจากการประสานงานของ 3 ส่วนหลัก คือ เซนเซอร์ที่คอยตรวจจับความรุนแรงของการชน กล่องควบคุมที่ประมวลผลข้อมูล และชุดสร้างแก๊สที่ทำปฏิกิริยาเคมีเพื่อปล่อยแก๊สไนโตรเจนทำให้ถุงลมพองตัวในทันที

ตำแหน่งถุงลมนิรภัยในรถยนต์ มีกี่จุด และแตกต่างกันอย่างไร?

จำนวนถุงลมนิรภัยในรถแต่ละรุ่นย่อยอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับมาตรฐานความปลอดภัยที่ผู้ผลิตติดตั้งมาให้ โดยอาจมีตั้งแต่ 2 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นพื้นฐาน ไปจนถึง 10 ตำแหน่งหรือมากกว่า คุณควรตรวจสอบข้อมูลนี้ก่อนตัดสินใจซื้อรถทุกครั้ง                  

  • ถุงลมนิรภัยด้านหน้า (Front Airbags): เป็นถุงลมนิรภัยมาตรฐานขั้นต่ำที่ติดตั้งในรถยนต์ทุกคัน โดยจะอยู่บริเวณพวงมาลัยสำหรับคนขับ และบริเวณแผงคอนโซลด้านหน้าสำหรับผู้โดยสาร
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง (Side Airbags): ติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของเบาะนั่งทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร ทำหน้าที่ปกป้องบริเวณลำตัวและช่วงสะโพก เมื่อเกิดการชนจากด้านข้างโดยตรง
  • ม่านถุงลมนิรภัย (Curtain Airbags): ติดตั้งอยู่ตามแนวหลังคาด้านข้างตัวรถ ซึ่งจะพองตัวลงมาเหมือนม่าน ป้องกันศีรษะและกระจกของผู้โดยสารไม่ให้กระแทกกับกระจกหน้าต่างเมื่อเกิดการชนด้านข้าง
  • ถุงลมนิรภัยป้องกันเข่าและขา (Knee Airbags): ติดตั้งอยู่ใต้แผงคอนโซลบริเวณเข่าของคนขับ ทำหน้าที่ลดการบาดเจ็บที่บริเวณเข่าและขา ซึ่งเป็นส่วนที่มักได้รับบาดเจ็บรุนแรงเมื่อเกิดการชนด้านหน้า

     สรุปความสำคัญของถุงลมนิรภัยถุงลมนิรภัยถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบความปลอดภัยเชิงรับในรถยนต์ ที่พร้อมจะปกป้องคุณและครอบครัวในยามฉุกเฉิน การเลือกซื้อรถจึงไม่ควรพิจารณาแค่เพียงรูปลักษณ์หรือราคาเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับจำนวนและประเภทของถุงลมนิรภัยที่คุณจะได้รับ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดตลอดการเดินทาง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 11 Nov, 2025
อ่านต่อ

     หากคุณขับรถอยู่เป็นประจำ หากคุณเจอพื้นลื่นแล้วต้องเลี้ยวแต่พบว่ารถกำลังลื่น แต่อยู่ดีๆ รถก็เบรคกและทำให้รถอยู่ในโค้งได้ หลายคนบอกว่าพระช่วย! แต่จริงๆ แล้วมันมีระบบหนึ่งที่หลายคนลืมไปแล้วที่มีชือว่า TCS โดยเป็นปุ่มรูปลื่นไถล แล้วระบบนี้ทำงานอย่างไร หากกดปุ่มปิดจะเกิดอะไรวันนี้ เราจะมาเฉลยเรื่องนี้กัน

 

TCS คืออะไร?

TCS ย่อมาจาก Traction Control System หรือ "ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี"

     พูดง่ายๆ มันคือ ระบบอัจฉริยะที่คอยป้องกันไม่ให้ "ล้อขับเคลื่อน" ของรถคุณหมุนเร็วจนเสียการควบคุม นั่นเอง โดยระบบนี้จะมราแก้ปัญหาอาการเหล่านี้

  • เวลาคุณเหยียบคันเร่งส่งกำลังไปที่ล้อ (ไม่ว่าจะเป็นล้อหน้า FWD, ล้อหลัง RWD, หรือสี่ล้อ AWD)
  • ถ้าคุณเหยียบคันเร่งแรงเกินไป หรือพื้นถนนมันลื่น (เช่น มีน้ำ, กรวด, ทราย, หรือโคลน)
  • ล้อรถจะ "หมุนฟรี" อยู่กับที่ (เหมือนรถแข่งเบิร์นยาง) พลังงานทั้งหมดจะถูกทิ้งไปกับการหมุนฟรีนั้น โดยที่รถไม่พุ่งไปข้างหน้า และที่แย่ที่สุดคือ รถจะเสียการทรงตัวทันที

TCS ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ

TCS ทำงานอย่างไร?

TCS ไม่ได้ทำงานโดดเดี่ยวครับ มันทำงานร่วมกับ "สมองกล" ของรถ (ECU) และใช้เซนเซอร์ชุดเดียวกับระบบเบรก ABS (ที่ป้องกันล้อล็อกตอนเบรก) โดยมีขั้นตอนการทำงานในเสี้ยววินาที โดยล้องรถยนต์จะมีเซ็นเซอร์ทั้งหมด 4 จุด และมีการเลื่อนไหวทั้งล้อตามและล้อขับเคลื่อน

     หากรถบบพบว่าล้อใดล้อหนึ่งกำลังลื่น ระบบจะสั่งให้ "เบรก" และลดกำลังเครื่องยนต์ ทำงานเบาๆ ที่ล้อที่กำลังหมุนฟรี เพื่อชะลอความเร็วของล้อนั้นให้กลับมาเกาะถนน (Traction) อีกครั้ง และระบบจะค่อยๆ ขับเคลื่อนไปข้างหน้า

 

แล้ว TCS ช่วยเราตอนไหนบ้าง?

เมื่อรู้การทำงานแล้ว TCS จะช่วยเราตอนไหนบ้าง เรามดาูกัน

1. ออกตัวตอนฝนตก หรือบนพื้นลื่น คุณจอดติดไฟแดงอยู่ พอไฟเขียว พื้นถนนเปียก คุณเหยียบคันเร่งออกตัวตามปกติ หากไม่มีระบบ ล้อจะหมุนฟรี "เอี๊ยด" รถอาจจะสะบัดเป๋ไปซ้ายทีขวาที กว่าจะตั้งลำได้ แต่ถ้ามี TCS ระบบจะตัดกำลังและเบรกที่ล้อฟรีทันที ทำให้ล้อค่อยๆ ตะกุยและจับพื้นถนน รถจึงออกตัวไปข้างหน้าได้อย่างนุ่มนวลและตรงทิศทาง

2. เร่งแซงบนถนนที่ลื่นไม่เท่ากัน คุณกำลังจะเร่งแซง แต่ล้อฝั่งซ้ายดันตกไปบน "แอ่งน้ำ" หรือ "ไหล่ทางที่เป็นกรวด" ส่วนล้อขวายังอยู่บนถนนแห้ง  หากไม่มี TCS ล้อซ้ายที่อยู่ในน้ำจะหมุนฟรีทันที ในขณะที่ล้อขวามีแรงเกาะ รถจะถูก "ดึง" อย่างแรงไปทางซ้ายหรือขวา ทำให้เสียการควบคุมและอาจเกิดอุบัติเหตุได้

     แต่ถ้ามี TCS ระบบจะเบรกล้อซ้ายที่หมุนฟรีทันที ทำให้กำลังเครื่องยนต์ถูกถ่ายเทไปยังล้อขวา (ที่เกาะถนน) รถจึงยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

 

3 เผลอเหยียบคันเร่งในโค้ง คุณกำลังเลี้ยวโค้งอยู่ แล้วเผลอเติมคันเร่งมากเกินไป ถ้าไม่มี TCS หากคุณใช้รถขับเคลื่อนล้อหน้าล้อหน้าจะหมุนฟรีและสูญเสียการยึดเกาะ ทำให้รถ "ดื้อโค้ง" หรือ "ไถล" ตรงไปข้างหน้า (อาการ Understeer) หากคุณใช้ขับเคลื่อล้อหลัง ล้อหลังจะหมุนฟรี ทำให้ท้ายรถ "ปัด" หรือ "กวาด" ออกนอกโค้ง (อาการ Oversteer หรือ Drift)

     ถ้ามี TCS ระบบจะตัดกำลังเครื่องทันทีที่ล้อเริ่มฟรี ทำให้รถกลับมาเกาะถนนตามไลน์โค้งที่คุณหักพวงมาลัยไว้ ป้องกันรถหมุนหรือแหกโค้งได้อย่างยอดเยี่ยม

 

TCS กับ ESC เหมือนหรือต่างกัน?

หลายคนสับสน 2 คำนี้จริงๆ แล้ว 2 คำนี้ต่างกัน

  • TCS (Traction Control): คือระบบป้องกัน "ล้อหมุนฟรี" โดยจะทำงานเฉพาะตอน "เหยียบคันเร่ง" เท่านั้น
  • ESC (Electronic Stability Control): นี่คือ "พี่ใหญ่" ที่คุมทุกอย่างครับ ESC (หรือชื่ออื่นเช่น VSC, VSA, ESP) จะป้องกัน "การเสียการทรงตัว" ทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดจากการเร่ง, การเบรก, หรือการหักเลี้ยว (คุมทั้งอาการ Understeer และ Oversteer) โดย TCS ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ESC ครับ

โดยสรุปแล้ว TCS ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์หรูหรา แต่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่สำคัญมากๆ ในรถยนต์ยุคนี้ มันคือ "ผู้ช่วยด่านแรก" ที่คอยเฝ้าระวังไม่ให้คุณส่งกำลังลงพื้นมากเกินไปจนรถเสียอาการ

 

     ดังนั้น ถ้าคุณเห็นไฟ TCS กะพริบบนหน้าปัด ไม่ต้องตกใจ นั่นแปลว่ามันกำลังทำงานเพื่อรักษาชีวิตคุณอยู่ครับ! และอย่าเผลอไปกด "TCS OFF" เล่น ถ้าคุณไม่ได้กำลังติดหล่มโคลน หรืออยากจะขับแบบแอดวานซ์ในสนามแข่งนะครับ!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 11 Nov, 2025
อ่านต่อ

4 จุดสำคัญที่ควรหมั่นเช็กก่อนขับลุยฝน เพื่อความปลอดภัยทุกเส้นทาง

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนที่มีฝนตกชุกแทบทุกวัน การดูแลรถยนต์ให้พร้อมใช้งานถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถนนที่เปียกลื่นและทัศนวิสัยที่ลดลง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น นอกจากการตรวจเช็กเครื่องยนต์และของเหลวตามปกติแล้ว ยังมีอีกหลายจุดที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อให้การเดินทางของคุณปลอดภัยในทุกสภาพอากาศ

 

ซึ่งวันนี้ เราได้รวบรวม 4 สิ่งสำคัญที่ควรตรวจเช็กก่อนขับรถในฤดูฝน เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจทุกครั้งที่ออกเดินทาง

 

4 จุดสำคัญที่ควรตรวจเช็กของรถในช่วงหน้าฝน

1. ตรวจสอบสภาพยางรถยนต์ให้พร้อม

ยางรถยนต์ คือด่านแรกของความปลอดภัยในการขับขี่บนถนนเปียก เพราะเป็นส่วนเดียวที่สัมผัสพื้นถนนโดยตรง หากยางหมดดอก เสื่อมสภาพ หรือแข็งกระด้างจนไม่สามารถรีดน้ำได้ดีพอ อาจทำให้เกิดอาการ “เหินน้ำ” ซึ่งเป็นภาวะที่รถสูญเสียการยึดเกาะถนนและควบคุมทิศทางไม่ได้

     เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ควรให้ดอกยางมีความลึกอย่างน้อย 3 มิลลิเมตร และหมั่นตรวจสอบว่าไม่มีรอยแตก บวม หรือฉีกขาด หากพบความผิดปกติ ควรรีบเปลี่ยนทันที เพราะยางที่เสื่อมสภาพอาจระเบิดได้เมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงหรือเจอแรงกระแทกจากหลุมบนถนน

 

2. ตรวจไฟรอบคันให้พร้อมใช้งาน

แสงไฟคือสิ่งที่ช่วยให้ทั้งคุณและผู้ร่วมทางมองเห็นกันได้อย่างปลอดภัยในวันที่ฝนตก ควรตรวจสอบไฟทุกดวงรอบคัน เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรก และไฟถอยหลัง รวมถึงไฟตัดหมอกและไฟกลางวัน (Daytime Running Light) ว่ายังทำงานได้ครบทุกดวง เพื่อให้การขับรถในช่วงที่ฝนตกหนักและทัศนวิสัยไม่ดี การที่ไฟไม่สามารถไม่ได้อาจทำให้เกิดอันตรายบนท้องถนนได้

 

3. ตรวจเช็กใบปัดน้ำฝนและน้ำยาล้างกระจก

ใบปัดน้ำฝนที่ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพอาจทำให้ทัศนวิสัยแย่ลงในขณะฝนตก หากปัดแล้วกระจกยังมัวหรือมีรอยคราบ ควรเปลี่ยนใบปัดใหม่ทันที ปัจจุบันมีให้เลือกหลายขนาดและราคาย่อมเยา สามารถเปลี่ยนได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน

     ในขณะเดียวกัน ควรตรวจดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำล้างกระจกให้เพียงพอ และควรใช้น้ำยาล้างกระจกเฉพาะทางแทนน้ำเปล่า เพราะจะช่วยชะล้างคราบมันและแมลงได้ดีกว่า ทำให้การมองเห็นในสภาพฝนตกชัดเจนขึ้น

 

4. ตรวจระบบเบรกและเอบีเอส (ABS)

ระบบเบรกคือหัวใจของความปลอดภัยในการขับขี่ หากเหยียบเบรกแล้วมีเสียงดังหรือรู้สึกว่าระยะเบรกยาวกว่าปกติ แสดงว่าผ้าเบรกอาจเริ่มสึก ควรรีบเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบทันที โดยเฉพาะในช่วงฝนตกที่ถนนลื่น การมีระบบเบรกที่พร้อมใช้งานคือสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก

     สำหรับ ระบบ ABS ซึ่งช่วยป้องกันล้อตายขณะเบรกแรง ควรเช็กให้แน่ใจว่าระบบเบรกยังทำงานเป็นปกติ โดยสามารถทดลองเหยียบเบรกในพื้นที่โล่ง หากรู้สึกถึงแรงสะเทือนเบาๆ ที่แป้นเบรกพร้อมเสียงปั๊มเป็นจังหวะ แสดงว่าระบบยังทำงานดี

 

เทคนิคขับรถหน้าฝนอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงบนถนนเปียกลื่น

1. ลดความเร็วและเพิ่มระยะห่างจากคันหน้า

เมื่อฝนตก ถนนจะลื่นมากกว่าปกติ ส่งผลให้ระยะเบรกยาวขึ้น ดังนั้นควรลดความเร็วลงอย่างน้อย 20–30% และเพิ่มระยะห่างจากรถคันหน้าเป็นอย่างน้อยสองเท่าของปกติ เพื่อให้มีเวลาพอในการเบรกหรือหลบหลีกหากเกิดเหตุไม่คาดคิด

2. เปิดไฟหน้าให้เห็นชัด แม้เป็นเวลากลางวัน

การเปิดไฟหน้าในขณะฝนตก แม้ในช่วงกลางวัน จะช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นคุณได้ง่ายขึ้นในสภาพแสงน้อยหรือหมอกฝน นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเปิดไฟฉุกเฉินขณะขับขี่ เพราะอาจทำให้ผู้ร่วมทางเข้าใจผิดคิดว่ารถจอดเสีย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้

3. หลีกเลี่ยงการขับผ่านแอ่งน้ำหรือน้ำท่วมขัง

หากพบเส้นทางที่มีน้ำขังหรือมองไม่เห็นพื้นถนน ควรหลีกเลี่ยงการขับผ่าน เพราะอาจเกิดอันตรายจากน้ำที่ลึกกว่าที่คิด หรือทำให้น้ำเข้าระบบท่อไอเสียจนเครื่องยนต์ดับได้ หากจำเป็นต้องลุยน้ำ ควรใช้เกียร์ต่ำ และขับช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการหยุดกลางแอ่งน้ำ เพื่อป้องกันน้ำย้อนเข้าสู่เครื่องยนต์

 

     การขับรถในฤดูฝนไม่เพียงต้องอาศัยทักษะและความระมัดระวังเท่านั้น แต่ยังต้องเริ่มจากการดูแลรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ตรวจเช็กจุดสำคัญทั้ง 4 ข้อนี้ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของคุณและผู้ร่วมทางบนท้องถนน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 11 Nov, 2025
อ่านต่อ

สัญญาณเตือนผ้าเบรกหมด 5 ข้อ ที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัย

ผ้าเบรกเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยในการขับขี่ หากผ้าเบรกสึกหรอหรือหมดลง อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการเบรกและทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ การเรียนรู้และสังเกตสัญญาณเตือนจึงเป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถทุกคนไม่ควรมองข้าม เพื่อให้สามารถนำรถเข้าเปลี่ยนผ้าเบรกได้ทันเวลา ป้องกันความเสียหายที่อาจลุกลามไปยังจานเบรก ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

 

5 สัญญาณหลักที่บ่งบอกว่าผ้าเบรกใกล้หมด

ผู้ขับขี่สามารถสังเกตอาการของรถยนต์ได้ในหลายลักษณะ หากพบสัญญาณเหล่านี้แม้เพียงข้อใดข้อหนึ่ง ควรนำรถเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถโดยเร็วที่สุด สัญญาณหลักที่บ่งบอกว่าผ้าเบรกใกล้หมดหรือหมดแล้ว มีดังนี้:

 

มีเสียงดังขณะเหยียบเบรก

หากได้ยินเสียง "อี๊ด ๆ" หรือเสียงแหลมคล้ายโลหะเสียดสีกันเมื่อเหยียบเบรก อาจเกิดจากแผ่นเหล็กตัวเตือนผ้าเบรกเริ่มเสียดสีกับจานเบรก แต่ถ้าได้ยินเสียง "ครืด ๆ" หรือเสียงขูดขีดรุนแรงคล้ายเหล็กกระทบกัน นั่นหมายความว่าผ้าเบรกหมดจนเหลือแต่เหล็กด้านหลังเสียดสีกับจานเบรกแล้ว ซึ่งต้องรีบดำเนินการเปลี่ยนทันที

 

ระยะเบรกยาวขึ้นหรือต้องเหยียบเบรกลึกกว่าปกต

เมื่อผู้ขับขี่รู้สึกว่าต้องออกแรงเหยียบแป้นเบรกมากขึ้น หรือจำเป็นต้องเหยียบแป้นเบรกลึกกว่าเดิม รถจึงจะสามารถชะลอความเร็วหรือหยุดได้ตามต้องการ อาการนี้บ่งบอกถึงความผิดปกติของผ้าเบรกที่บางลงจนลดประสิทธิภาพการเบรก หรือน้ำมันเบรกที่อาจพร่องลงไปจากระดับมาตรฐาน

 

ไฟเตือนระบบเบรกขึ้นโชว์ที่หน้าปัด

กรณีที่มีไฟรูปเบรกมือ หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ ของระบบเบรก ขึ้นโชว์ที่หน้าปัด แม้ว่าคุณจะไม่ได้ดึงเบรกมืออยู่ก็ตาม นี่คือสัญญาณเตือนที่สำคัญ สาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยคือผ้าเบรกที่บางลงมากจนทำให้น้ำมันเบรกลดต่ำกว่าขีด MIN ในกระปุกน้ำมันเบรก รถยนต์รุ่นใหม่บางรุ่นก็มีเซนเซอร์เตือนผ้าเบรกหมดโดยเฉพาะ

 

แป้นเบรกสั่นหรือรู้สึกผิดปกติ

เมื่อเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่าแป้นเบรกมีอาการสั่น หรือมีการตอบสนองที่รู้สึกว่า "ยุบ" หรือ "หลวม" กว่าเดิมมาก นั่นอาจเป็นสัญญาณของผ้าเบรกที่สึกหรอไม่สม่ำเสมอ หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจานเบรก การสั่นนี้จะสังเกตได้ชัดเจนเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง

 

เบรกมือสูงกว่าปกติ (กรณีผ้าเบรกล้อหลัง)

สำหรับรถยนต์ที่ผ้าเบรกล้อหลังใช้ระบบเบรกมือร่วมด้วย หากเมื่อดึงเบรกมือเพื่อจอดรถแล้วพบว่าต้องดึงสูงกว่าเดิมมาก หรือรู้สึกว่าเบรกมือหลวมกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด นั่นอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าผ้าเบรกของล้อหลังสึกหรอและต้องการการปรับตั้งหรือเปลี่ยนใหม่

 

     การสังเกตและตอบสนองต่อ สัญญาณเตือนผ้าเบรกหมด อย่างรวดเร็วเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของการขับขี่ ผ้าเบรกที่มีประสิทธิภาพช่วยให้คุณมั่นใจได้ในทุกการเดินทาง ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จานเบรกจะเสียหาย ซึ่งจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในระยะยาวอีกด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

✅IHI TURBO 🇯🇵

✅GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 11 Nov, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.