×
หน้าหลัก > ข่าวและประกาศ
บทความ : ข่าวและประกาศ
แสดง รายการ

     เวลาที่เราเห็นแสงน้อยลงเราก็ต้องเปิดไฟเพื่อให้สามารถมองเห็นได้เช่นเดียวกัน รวมถึงรถยนต์ หากเวลากลางคืนเราก็เปิดไฟหน้า แต่ด้วยความที่รถสมัยใหม่มีฟีเจอร์เยอะจนทำให้เราลืมเปิดไฟหน้าได้เช่นเดียวกัน รอบนี้ เรารวม 5 เรื่องที่เกี่ยวกับไฟหน้า ที่ยังเข้าใจผิด และส่งผลร้ายกว่าที่คุณคิด มีเรื่องอะไรเรามาดูกัน

 

5 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับไฟหน้า ที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดมานาน

 1. เข้าใจผิดว่า "ไฟ DRL (Daytime Running Lights)" ใช้แทนไฟหน้าตอนกลางคืนได้

เรื่องแรกคือ รถยนต์รุ่นใหม่หลายคันมีไฟ DRL ที่สว่างจ้าในเวลากลางวัน ทำให้ผู้ขับขี่บางคนคิดว่าไฟเหล่านี้เพียงพอสำหรับการขับขี่ในที่มืด หรือพลบค่ำแล้ว จึงละเลยการเปิดไฟหน้าหลัก ความจริงคือ ไฟ DRL มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการมองเห็นรถของคุณในเวลากลางวันเท่านั้น ไม่ได้ให้ความสว่างเพียงพอสำหรับส่องทางในเวลากลางคืน และที่สำคัญ ไฟ DRL มักจะเปิดเฉพาะด้านหน้า ทำให้ไฟด้านท้ายรถไม่ติดมืดสนิท ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งเมื่อขับขี่ในที่มืด เพราะรถที่ตามมาอาจมองไม่เห็นรถของคุณ ทำให้เสี่ยงต่อการชนท้ายสูงมาก

2. เข้าใจผิดว่า "ไฟตัดหมอก" ใช้แทนไฟหน้าได้ในทุกสถานการณ์

บางครั้งผู้ขับขี่บางคนนิยมเปิดไฟตัดหมอกหน้าในเวลากลางคืน โดยเฉพาะในเมืองที่คิดว่าให้ความสว่างเพียงพอแล้ว หรือบางรายอาจเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาแม้สภาพอากาศปกติ ความจริงและ ไฟตัดหมอกออกแบบมาเพื่อให้ความสว่างในระยะใกล้ และกระจายแสงในมุมกว้าง เพื่อช่วยในการมองเห็นเมื่อมีทัศนวิสัยไม่ดี เช่น ฝนตกหนัก หมอกลงจัด หรือมีควันหนาแน่น การเปิดไฟตัดหมอกในสภาพอากาศปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่ไม่มีหมอก จะทำให้แสงไฟแยงตาผู้ขับขี่คนอื่นที่สวนทางมาอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดอันตรายและสร้างความรำคาญใจอย่างมาก

3. คิดว่า "เปิดไฟสูง" ตลอดเวลาดีกว่าเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนที่สุด

 เวลาที่หลายคนขับรถและมองไม่เห็นเลยเปิดไฟสูง จนทำให้เปิดไฟค้างไว้ และเชื่อว่ามองเห็นแน่นอน แต่ความจริงที่ร้ายแรงค การเปิดไฟสูงขณะมีรถสวนทาง หรือขับตามหลังรถคันอื่น จะทำให้แสงไฟไปแยงตาผู้ขับขี่เหล่านั้น ทำให้มองไม่เห็นทางชั่วขณะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้เสมอ ควรเปลี่ยนเป็นไฟต่ำทันทีเมื่อมีรถคันอื่นเข้ามาในระยะสายตา และอาจจะทำให้ตาล้าจนเกิดอุบัติเหตุได้

4. คิดว่า "ไฟหน้าอัตโนมัติ (Auto Headlights)" ทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100%

รถยนต์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ มีระบบไฟหน้าอัตโนมัติที่เปิด-ปิดเองตามสภาพแสง ผู้ขับขี่จึงวางใจและไม่เคยตรวจสอบการทำงานของระบบเลยแต่ ความจริง แม้ระบบไฟหน้าอัตโนมัติจะสะดวกสบาย แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% เสมอไป บางครั้งอาจมีปัจจัยที่ทำให้เซ็นเซอร์ทำงานผิดพลาด เช่น

  • เซ็นเซอร์สกปรกหรือถูกบดบัง ฝุ่นละออง โคลน หรือหิมะที่เกาะอยู่บนเซ็นเซอร์แสง อาจทำให้ระบบเข้าใจผิดว่ายังมีแสงสว่างเพียงพอ
  • สภาพแสงที่ซับซ้อน เช่น การขับรถออกจากอุโมงค์ที่มืดเข้าสู่บริเวณที่มีแสงจ้า หรือขับผ่านใต้ต้นไม้ใหญ่บ่อยๆ ระบบอาจใช้เวลาในการปรับตัว
  • พลบค่ำหรือรุ่งอรุณ ในช่วงเวลาที่แสงเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ระบบอาจยังไม่ทำงานทันที ทำให้เกิดช่วงเวลาที่ไฟหน้ายังไม่ถูกเปิดใช้งาน

ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบแผงหน้าปัดเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไฟหน้าได้เปิดใช้งานแล้ว โดยเฉพาะในสภาพแสงที่ก้ำกึ่ง

5. ละเลยการปรับ "ระดับไฟหน้า" ให้เหมาะสมกับการบรรทุกหรือการใช้งาน

ผู้ขับขี่หลายคนไม่เคยสนใจปุ่มปรับระดับไฟหน้า (Headlight Leveling) ซึ่งมักอยู่บริเวณแผงหน้าปัดด้านคนขับ และปล่อยให้ตั้งค่าไว้ที่ตำแหน่งเดิมตลอดเวลา เพราะเข้าใจว่ามองเห็นไกลดี ความจริง เมื่อรถมีการบรรทุกสัมภาระหนัก หรือมีผู้โดยสารจำนวนมากท้ายรถ ท้ายรถจะจมลง ทำให้หน้ารถเชิดขึ้น และลำแสงไฟหน้าจะพุ่งสูงขึ้นไปแยงตาผู้ขับขี่ที่สวนทางมาอย่างมาก การปรับระดับไฟหน้าลง (ลดลำแสงลง) จะช่วยให้ลำแสงไม่สูงเกินไป ทำให้ไม่รบกวนผู้ใช้ถนนคนอื่น และยังคงให้การส่องสว่างที่เหมาะสมกับเส้นทาง

 

     ดังนั้น ในการใช้ไฟหน้ารถอย่างถูกต้องไม่ใช่เพียงเรื่องของกฎจราจร แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยสำหรับตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทางทุกคน การทำความเข้าใจและใช้งานระบบไฟรถยนต์อย่างถูกวิธี จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างมหาศาล อย่าละเลยเรื่องเล็กน้อยที่อาจนำไปสู่ผลร้ายแรง! ได้เช่นเดียวกัน สุดท้ายควรลองอ่านคู่มือประจำรถและปรับใช้ให้เหมาะสมด้วยครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 25 Aug, 2025
อ่านต่อ

     ทุกครั้งที่คุณขับรถกลับถึงบ้าน เลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง "P" แล้วดับเครื่องยนต์ หลายคนทำเพียงเท่านี้แต่ก็มีอีกมากมายทำเพิ่มคือการดึง "เบรกมือ" เสริมขึ้นมาจนสุด เกิดเป็นคำถามที่ถกเถียงกันมานานว่า การจอดรถในบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ราบ ไม่ใช่ทางลาดชัน จำเป็นต้องดึงเบรกมือควบคู่กับเกียร์ P จริงหรือ? วันนี้ เรามาทำความเข้าใจกันครับ

 

การทำงานของ"เกียร์ P" และ "เบรกมือ"

ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าทั้งสองระบบนี้ทำงานอย่างไรเริ่มจาก

  • เกียร์ P (Park): เมื่อคุณเข้าเกียร์ P ไม่ได้หมายความว่าระบบเบรกของรถกำลังทำงาน แต่เป็นกลไกการใช้ "สลักล็อกเกียร์" (Parking Pawl) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนโลหะขนาดเล็ก เข้าไปขัดกับเฟืองเกียร์เพื่อไม่ให้ชุดเกียร์และเพลาขับหมุน ลองนึกภาพแท่งเหล็กเล็กๆ ที่เสียบเข้าไปเพื่อล็อกฟันเฟืองขนาดใหญ่ไม่ให้เคลื่อนที่ หน้าที่ของมันคือการ "ล็อก" การหมุนของล้อผ่านชุดเกียร์เท่านั้น
  • เบรกมือ (Parking Brake): คือการสั่งงาน "ระบบเบรก" ของรถยนต์โดยตรง (ส่วนใหญ่จะเป็นล้อคู่หลัง) เพื่อจับจานเบรกหรือดรัมเบรกให้หยุดนิ่งสนิท เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อ "ยึด" ล้อไม่ให้ขยับโดยเฉพาะ มีความแข็งแรงและทนทานสูง

 ทำไมจอดรถเกียร์ออโต้ต้องเข้าทั้ง P และ เบรคมือ

แม้จะจอดในพื้นที่ราบที่บ้าน การใช้เบรกมือทุกครั้งยังคงเป็นสิ่งที่เราแนะนำอย่างยิ่ง เพราะจริงๆ แล้วการเข้าเบรคมือจะมีหน้าที่สำคัญคือ

1. ลดภาระและยืดอายุการใช้งานชุดเกียร์ นี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุด! การเข้าเกียร์ P เพียงอย่างเดียว จะทำให้น้ำหนักทั้งหมดของรถยนต์ (ซึ่งหนักเป็นตัน) ถูกถ่ายลงบน "สลักล็อกเกียร์" ชิ้นเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว แม้บนพื้นราบก็ยังมีแรงกดทับอยู่ตลอดเวลา และหากพื้นมีความลาดเอียงแม้เพียงเล็กน้อย แรงกดทับมหาศาลนี้จะส่งผลให้สลักและเฟืองเกียร์เกิดการสึกหรอสะสมในระยะยาว การดึงเบรกมือก่อน จะให้ระบบเบรกเป็นผู้รับน้ำหนักของรถไว้ทั้งหมด ส่วนสลักเกียร์ P จะทำหน้าที่เป็นเพียงระบบล็อกสำรอง ช่วยลดภาระและยืดอายุการใช้งานของชุดเกียร์ซึ่งมีค่าซ่อมบำรุงที่สูงลิ่ว รวมถึงยางรองแท่นเครื่องเช่นกันครับ

2. เพิ่มความปลอดภัยสูงสุด อุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น หากมีรถคันอื่นมาชนท้ายรถของคุณที่จอดอยู่ แรงกระแทกอาจรุนแรงจนทำให้สลักล็อกเกียร์ที่รับน้ำหนักอยู่ตัวเดียวเสียหายหรือหักได้ ซึ่งจะทำให้รถไหลไปสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือบุคคลอื่นได้ การมีเบรกมือที่ล็อกล้อไว้อีกชั้นหนึ่ง จะเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยป้องกันไม่ให้รถเคลื่อนที่

3. ป้องกันอาการ "เกียร์ติด" และเสียงกระชาก เคยรู้สึกไหมว่าบางครั้งการเลื่อนเกียร์ออกจากตำแหน่ง P ทำได้ยากและมีเสียงดัง "แกร็ก!" หรือ "กึ้ก!" นั่นเป็นอาการที่เกิดจากสลักล็อกเกียร์ถูกน้ำหนักรถกดทับจนแน่น ทำให้ต้องใช้แรงในการปลดล็อกมากขึ้น เสียงที่เกิดขึ้นคือเสียงที่สลักกระแทกกับเฟืองตอนปลดล็อก ซึ่งเป็นสัญญาณของการทำงานหนักเกินไป การใช้เบรกมือจะช่วยป้องกันปัญหานี้ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลและเงียบขึ้น

 

วิธีที่ถูกต้องในการจอดรถเกียร์ออโต้ (เกียร์อัตโนมัติ)

เพื่อถนอมเกียร์และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรจอดรถตามลำดับขั้นตอนนี้จนเป็นนิสัย

ขั้นตอนการจอดเกียร์ออโต

  1. เหยียบเบรกเท้าให้รถหยุดนิ่งสนิท
  2. เลื่อนตำแหน่งเกียร์ไปที่ N (เกียร์ว่าง)
  3. ดึงเบรกมือขึ้นให้สุด (ขั้นตอนนี้ระบบเบรกจะรับน้ำหนักรถไปเต็มๆ)
  4. ค่อยๆ ปล่อยเบรกเท้า เพื่อให้รถหยุดนิ่งสนิทด้วยแรงของเบรกมือ
  5. เหยียบเบรกเท้าอีกครั้ง และเลื่อนคันเกียร์ไปที่ P (Park)
  6. ดับเครื่องยนต์

ขั้นตอนการออกรถเกียร์ออโต้

  1. เหยียบเบรกเท้าค้างไว้
  2. สตาร์ทเครื่องยนต์
  3. เลื่อนคันเกียร์ออกจาก P มาที่ R หรือ D
  4. ปลดเบรกมือลง
  5. ปล่อยเบรกเท้าและเคลื่อนรถ

     ดังนั้นแล้วการจอดรถเข้าบ้านที่ถูกต้องโดยเฉพาะรถเกียร์อัตโนมัติ จะเป็นเรื่องดีเพราะจถทำให้การสึกหรอของรถนั้นน้อยลงและใช้งานไปได้นานๆ การเปลี่ยนนิสัยและพฤติกรรมการใช้รถก็จะช่วยให้ประหยัดค่าซ่อมรถระยะยาวได้เช่นเดียวกันครับ ครั้งหน้า เราจะมาเล่าเทคนิคการใช้รถอะไรอย่าลืมมาติดตามกันครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 25 Aug, 2025
อ่านต่อ

     หากคุณขับรถอยู่แล้วพบว่ามีปัายที่บอกทางทั้งลูกศร หรือแบบอื่น แต่มีพื้นหลังเป็นสีเหลือง หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องมีป้ายแบบนี้ขึ้นมา ใช้สีขาวแบบเดิมไม่ได้หรอ วันนี้ เรามีคำตอบคลายข้อสงสัยให้กับผู้ใช้รถ รวมถึงคนที่กำลังจะสอบใบขับขี่ต้องรู้ด้วยนะ

 

ป้ายพื้นหลังสีเหลืองคืออะไร

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า โดยหลักแล้วป้ายจราจรที่มีพื้นหลังสีเหลือง ขอบสีดำ พร้อมสัญลักษณ์หรือข้อความสีดำนั้น จัดอยู่ในหมวด "ป้ายเตือน" (Warning Signs) หน้าที่หลักของป้ายประเภทนี้ คือการแจ้งเตือนผู้ขับขี่ให้ทราบล่วงหน้าถึงสภาพเส้นทางที่อาจก่อให้เกิดอันตราย

 

หรือจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถลดความเร็วและเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที 

 

แล้วทำไมถึงเรียกว่า "ป้ายบอกทางสีเหลือง"?

สำหรับทำไมป้ายต้องเป็นบอกทางสีเหลือง ก็เพราะว่า ในหลักการแล้วสีเหลืองคือการเตือน ดังนั้นป้ายสีเหลืองก็ทำหน้าที่ "บอกทิศทางชั่วคราว" ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการก่อสร้าง ซ่อมแซมถนน หรือมีเหตุการณ์พิเศษ ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางจราจร นี่จึงเป็นที่มาที่หลายคนเรียกว่า "ป้ายบอกทางสีเหลือง"

 

โดยป้ายเหล่านี้จะทำหน้าที่แนะนำเส้นทางเลี่ยง หรือบอกให้เบี่ยงไปใช้ช่องจราจรอื่นชั่วคราว เช่น ป้ายทางเบี่ยงซ้าย/ขวา, ป้ายเปลี่ยนช่องจราจร, หรือป้ายแนะนำเส้นทางเลี่ยง ซึ่งล้วนแต่ใช้พื้นหลังสีเหลืองเพื่อเน้นย้ำให้ผู้ขับขี่เห็นได้ชัดเจนและปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยและลดปัญหาการจราจร

 

ตัวอย่าง "ป้ายเตือนสีเหลือง" ที่พบบ่อยบนท้องถนน

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาดูตัวอย่างป้ายเตือนสีเหลืองที่ผู้ขับขี่มักจะพบเจอเป็นประจำ พร้อมความหมายที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษกันดีกว่า

 

กลุ่มเตือนสภาพเส้นทาง

  • ป้ายเตือนทางโค้ง (ซ้าย/ขวา, โค้งกลับ, ทางคดเคี้ยว): สัญญาณเตือนให้ลดความเร็วก่อนถึงโค้ง เพื่อป้องกันการเสียหลักแหกโค้ง
  • ป้ายเตือนทางแยก: แจ้งให้ทราบว่าข้างหน้ามีทางแยก อาจเป็นสามแยก สี่แยก หรือทางแยกที่ซับซ้อน เพื่อให้เตรียมชะลอความเร็วและมองรถจากทิศทางอื่น
  • ป้ายเตือนวงเวียนข้างหน้า: ให้เตรียมพร้อมเข้าสู่วงเวียน โดยต้องให้สิทธิ์รถที่อยู่ในวงเวียนไปก่อน
  • ป้ายเตือนทางแคบลง: บอกให้รู้ว่าช่องจราจรข้างหน้าจะลดลง ผู้ขับขี่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเบียดหรือแซง
  • ป้ายเตือนถนนลื่น: มักพบในบริเวณที่ฝนตกบ่อยหรือมีน้ำขัง เตือนให้ขับช้าลงเป็นพิเศษ เพราะรถอาจเสียการควบคุมได้ง่าย

กลุ่มเตือนสิ่งที่ต้องระวัง

  • ป้ายเตือนเขตโรงเรียน: สัญลักษณ์รูปเด็กนักเรียน เตือนให้ลดความเร็วสูงสุดและพร้อมที่จะหยุดเสมอ โดยเฉพาะช่วงเวลาเปิด-ปิดเรียน
  • ป้ายเตือนทางข้ามทางรถไฟ (มี/ไม่มีเครื่องกั้น): สัญญาณเตือนที่สำคัญอย่างยิ่ง ผู้ขับขี่ต้องชะลอและสังเกตให้แน่ใจว่าไม่มีรถไฟกำลังมา ก่อนจะขับผ่านไป
  • ป้ายเตือนระวังสัตว์: ในพื้นที่นอกเมืองหรือใกล้เขตป่า อาจมีสัตว์ป่าข้ามถนน ป้ายนี้จึงเตือนให้ขับช้าลงและสังเกตสองข้างทาง
  • ป้ายเตือนระวังหินร่วง: พบได้บ่อยในเส้นทางขึ้นเขาหรือตัดผ่านภูเขา ให้ระมัดระวังหินที่อาจร่วงหล่นลงมาบนถนน

กลุ่มเตือนในเขตงานก่อสร้าง (ป้ายบอกทางชั่วคราว)

  • ป้ายทางเบี่ยง (ซ้าย/ขวา): ป้ายลูกศรชี้ทิศทางให้เบี่ยงออกจากเส้นทางเดิม มักใช้ร่วมกับกรวยหรือแผงกั้น
  • ป้ายช่องจราจรปิดด้านหน้า: แจ้งให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนช่องจราจรล่วงหน้า เพราะช่องทางที่ใช้อยู่กำลังจะถูกปิด
  • ป้ายคนทำงาน: เตือนให้ระวังเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณนั้น

ดังนั้นแล้ว ทุกครั้งที่คุณเห็นป้ายบอกทางสีเหลืองอาจไม่ใช่ป้ายที่นำคุณไปสู่จุดหมายปลายทางโดยตรง แต่เป็นการ "เตือน" ว่าอาจจะมีอันตรายอยู่ข้างหน้า และปฏิบัติตามป้ายเตือนเหล่านี้อย่างเคร่งครัด ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณเอง แต่ยังแสดงถึงความใส่ใจต่อเพื่อนร่วมทางอีกด้วย ครั้งต่อไปเมื่อเห็นป้ายสีเหลืองข้างหน้า

 

อย่าลืมชะลอความเร็วและเพิ่มความระมัดระวัง เพราะนั่นคือสัญญาณเตือนจากความห่วงใย เพื่อให้ทุกการเดินทางของคุณราบรื่นและปลอดภัยถึงที่หมาย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 25 Aug, 2025
อ่านต่อ

เตือนภัยหน้าร้อน! 3 จุดเสี่ยงจอดรถ "ห้ามทำ" ถ้าไม่อยากยางแตกกลางแดด

ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยรถยนต์ออกโรงเตือนผู้ขับขี่ หลีกเลี่ยง 3 ความเสี่ยง ในการจอดรถช่วงอากาศร้อนจัด มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายต่อยางรถยนต์ ทั้งสึกหรอเร็วกว่าปกติ หรือถึงขั้นระเบิดได้

1. อย่าจอดโดยล้อเอียง

ข้อแรกที่หลายคนมองข้าม คือการจอดรถโดยไม่ตั้งล้อตรง โดยเฉพาะเมื่อต้องจอดนาน ๆ การปล่อยให้ล้อเอียงหรือหันไปด้านใดด้านหนึ่งอาจทำให้แก้มยางรับแรงกดมากกว่าปกติ ส่งผลให้ยางบวม หรือแตกลายได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่อุณหภูมิสูงจัด

คำแนะนำ: ก่อนดับเครื่อง ควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อตรงเสมอ เพื่อกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอ ช่วยถนอมยางในระยะยาว

2. หลีกเลี่ยงการจอดบนฟุตบาทหรือพื้นที่ยกสูง

การจอดรถบนขอบฟุตบาท หรือพื้นต่างระดับ อาจทำให้ล้อด้านหนึ่งแบกรับน้ำหนักมากกว่าด้านอื่น ส่งผลให้ยางด้านนั้นสึกเร็วกว่าปกติ อีกทั้งยังผิดกฎหมายในบางพื้นที่ เช่น ลอนดอนและสกอตแลนด์

     นอกจากนี้ ความไม่สมดุลของน้ำหนักยังทำให้โครงสร้างยางเสียรูป เมื่อเจอกับอุณหภูมิสูง อาจทำให้ยางเสียหายหนักยิ่งขึ้น

3. อย่าจอดบนโลหะหรือลาดยาง (แอสฟัลต์) ในแดดจ้า

พื้นผิวอย่างตะแกรงเหล็ก หรือถนนแอสฟัลต์ในวันที่แดดแรง สามารถมีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านั้น หากยางสัมผัสกับพื้นร้อนจัดเป็นเวลานาน อาจเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เสี่ยงระเบิดหรือแตกลายงาได้

คำแนะนำ: หากจำเป็นต้องจอดกลางแดด ควรเลือกพื้นที่ร่มหรือพื้นคอนกรีตที่ไม่อมความร้อนมากนัก

อย่าลืมเช็กลมยาง… ตอนยางเย็นเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญจาก MoneySuperMarket แนะนำว่าการเช็กลมยางควรทำขณะยางยังเย็น เนื่องจากความร้อนจะทำให้แรงดันลมเพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งอาจทำให้การวัดผิดเพี้ยน

     ย้ำว่า “ห้ามลดลมยางหลังจากที่เห็นแรงดันสูงขึ้นเพราะความร้อน” เพราะนั่นเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับคำแนะนำความปลอดภัยของสหราชอาณาจักร

 

สรุป: ปกป้องยางรถในหน้าร้อน

  • จอดโดยล้อตรงทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการจอดบนพื้นที่เอียงหรือสูงไม่เท่ากัน
  • ไม่จอดบนโลหะหรือแอสฟัลต์ร้อนจัด
  • เช็กลมยางตอนเช้าหรือเมื่อยางเย็นเท่านั้น

ทั้งนี้ หากยางเกิดความเสียหายจากการสึกหรอหรือการละเลย การเคลมประกันอาจไม่ครอบคลุมค่าเสียหาย ดังนั้นการดูแลยางให้ดีตั้งแต่แรกจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 23 Aug, 2025
อ่านต่อ

ทริคพัดลม 5 วินาที ช่วยลดอุณหภูมิรถร้อนจัดแบบเร่งด่วน แอร์เย็นขึ้นเท่าตัว!

รับหน้าร้อนอย่างเย็นสบาย ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยให้รถของคุณเย็นไวขึ้นทันใจ

     ในช่วงหน้าร้อนที่อุณหภูมิทะลุปรอทแบบนี้ หลายคนคงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องขึ้นรถที่จอดตากแดดมานาน การเปิดแอร์ก็ต้องรอให้เย็น ซึ่งบางครั้งก็ช้าเกินไปจนหมดความอดทน แต่เคล็ดลับง่ายๆ เพียง 5 วินาทีนี้ อาจกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตของคุณในฤดูร้อนนี้ก็ได้!

     ทริคลดร้อนในรถแบบเร่งด่วน! ก่อนออกเดินทาง ให้คุณลดกระจกทั้งสองฝั่งลง แล้วเปิดพัดลม (ระบบเป่าลม) ภายในรถทิ้งไว้ประมาณ 5 วินาที

     วิธีนี้จะช่วยไล่อากาศร้อนที่สะสมภายในรถออกไปอย่างรวดเร็ว และทำให้อากาศเย็นจากภายนอกเริ่มหมุนเวียนเข้ามาแทนที่

     นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษที่อาจสะสมจากวัสดุภายในรถ และลมร้อนที่ค้างอยู่ตามช่องแอร์ ส่งผลให้ประสิทธิภาพของแอร์ทำงานได้ดีขึ้น เมื่อเปิดใช้งานภายหลัง

     เมื่ออุณหภูมิภายในเริ่มเย็นลงแล้ว ก็สามารถปิดหน้าต่างและเปิดแอร์ตามปกติ ซึ่งจะช่วยให้แอร์ทำงานเย็นเร็วขึ้นกว่าปกติถึง 2 เท่า!

เทคนิคอื่นๆ ที่ช่วยให้รถเย็นเร็วขึ้น

  • ใช้ปุ่มหมุนเวียนอากาศ (Air Recirculation): สัญลักษณ์รูปรถมีลูกศรโค้งอยู่ด้านใน ช่วยให้อากาศเย็นภายในหมุนเวียน ไม่ดูดลมร้อนจากภายนอก ทำให้เย็นเร็วและประหยัดพลังงานมากขึ้น
  • ดูแลระบบแอร์สม่ำเสมอ: ควรล้างและเติมน้ำยาแอร์ตามรอบการบำรุงรักษา เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่สะสมเชื้อราและแบคทีเรีย
  • เลือกที่จอดรถอย่างชาญฉลาด: เลือกจอดในที่ร่ม หรือใช้ม่านบังแดด-ฟิล์มกรองแสง เพื่อลดการสะสมความร้อนภายในห้องโดยสาร

และเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ได้แชร์เคล็ดลับมากมายในการรับมือกับอากาศร้อน เช่น การใช้ไอเท็มราคาย่อมเยาจาก Amazon ที่ช่วยให้แอร์เย็นขึ้นทันตา หรือการถอดสิ่งของ 6 อย่างที่ไม่ควรทิ้งไว้ในรถช่วงอากาศร้อน

     ใครที่กำลังเผชิญกับปัญหารถร้อนจัด แอร์ไม่เย็น ลองนำทริคง่ายๆ เหล่านี้ไปปรับใช้ รับรองว่าเย็นเร็ว สบายขึ้นแน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 23 Aug, 2025
อ่านต่อ

     ทุกครั้งที่คุณเห็นรถในโชว์รูมหรือโบร์ชัวร์ ของรถที่คุณสนใจมีสีเงิน แต่กลับถูกเรียกว่า “รถสีบรอนซ์เงิน” หรือ “สีบรอนซ์ทอง” ซึ่งสร้างความสับสนไม่น้อย เพราะชื่อสีที่ถูกต้องตามหลักสากลจริงๆ กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น และจริงๆ สีเหล่านี้ควรเรียกว่าสีอะไร วันนี้ เรามาเฉลยให้คุณได้ฟังกัน

 

จุดเริ่มต้นของความสับสนทางภาษา

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า “บรอนซ์” ในภาษาอังกฤษ (Bronze) มีความหมายถึง สีน้ำตาลอมทองแดง หรือ สีทองแดง ซึ่งเป็นสีที่ได้จากโลหะผสมประเภทหนึ่ง แต่ในบริบทของคนไทยและตลาดรถยนต์ คำว่า “สีบรอนซ์” กลับถูกนำมาใช้เรียก รถสีเงิน ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงยุค 90s และยุค 2000s ซึ่งสาเหตุอาจมาจากหลายปัจจัยเช่น

  • ความสับสนในยุคแรก: ในช่วงที่รถยนต์สีเงินเมทัลลิกเริ่มเข้ามาได้รับความนิยมในประเทศไทย ผู้คนอาจจะยังไม่คุ้นชินกับคำว่า “สีเงิน” ที่มีประกายแวววาว จึงใช้คำอื่นมาเรียกแทน และคำว่า "บรอนซ์" ซึ่งเป็นชื่อของโลหะก็ดูใกล้เคียงกับภาพลักษณ์ของสีเงินที่มีประกายเมทัลลิก
  • การตลาดในอดีต: เป็นไปได้ว่าในยุคนั้น บริษัทรถยนต์บางแห่งอาจใช้คำว่า “สีบรอนซ์” เพื่อสื่อถึงความหรูหรา หรือเพื่อให้สีดูมีเอกลักษณ์มากขึ้น และคำนี้ก็กลายเป็นคำติดปากที่แพร่หลายไปในที่สุด

แล้วสีที่ถูกต้องคืออะไร?

เมื่อเข้าใจเรื่องของสีแล้วจริงๆ สีของรถยนต์ที่ต้องรู้ตามความจริงว่าสีจริงๆ ที่คุณเห็นนั้นคือ

  • สีเงิน (Silver): คือสีเทาอ่อนที่มีประกายเมทัลลิก ซึ่งเป็นสีรถยนต์ที่เราเห็นกันบ่อยที่สุด
  • สีทอง (Gold) : คือสีที่เมือนกับเงินแต่จะมีความสว่างและดูประกาศ
  • สีบรอนซ์ (Bronze): ที่หลายคนเรียกผิดกันจริงแล้วคือสีน้ำตาลอมทองแดง หรือสีทองแดง

ส่วนสีที่เข้าใจกันผิดเช่น สีบรอนซ์เงิน และ สีบรอนซ์ทอง คือชื่อสีที่คนไทยมักจะเรียกเพื่อแทนรถสีเงิน และสีทองนั่นเอง

     ดังนั้น หากคุณกำลังจะซื้อ-ขายรถ และต้องการความเข้าใจที่ตรงกัน ควรเรียกชื่อสีให้ถูกต้องว่า “สีเงิน” เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและสื่อสารได้อย่างชัดเจนและลดการสับสนนั่นเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 22 Aug, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.