×
ผลการค้นหา : HONDA
แสดง รายการ

     ทุกวันนี้รถยนต์ที่คุณใช้งานไม่ว่าจะเป็นรถปกติ, รถไฮบริต และ รถไฟฟ้า จะต้องมีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่คุณต้องดูน้ำพักหม้อน้ำเพื่อดูว่าระดับยังปกติไหม และถ้าใช้งานอยู่ดีๆ น้ำลดลงไปการหามาเติมด้วยความที่มีหลายแบบหลายสีไปหมด คุณอาจจะเผลอเอาน้ำสีอื่นมาเติมหวังว่าจะผสมเพื่อเกินสีใหม่ แต่รู้หรือไม่สิ่งเหล่านี้ที่ทำอาจจะทำให้รถของคุณพังเร็ว วันนี้ เราจะมาเฉลยว่าน้ำหม้อน้ำแต่ละสีทำอะไร และบอกว่าถ้าเติมผิดจะเกิดอะไรขึ้นรวมถึงการเติมให้ถูกต้องทำอย่างไร

สีของน้ำยาหล่อเย็น บอกอะไรเรา?

ในอดีต สีของน้ำยาหล่อเย็นเคยใช้เป็นตัวบ่งชี้เทคโนโลยีและสารเคมีที่ใช้ แต่ในปัจจุบัน สีไม่ใช่มาตรฐานสากลอีกต่อไป ผู้ผลิตแต่ละรายอาจใช้สีที่แตกต่างกันไปในเทคโนโลยีเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถใช้สีเป็นแนวทางเบื้องต้นในการแบ่งกลุ่มเทคโนโลยีหลักๆ ได้ดังนี้

  • สีเขียว (Green): เป็นสีของน้ำยาหล่อเย็นยุคดั้งเดิม มักใช้เทคโนโลยี IAT (Inorganic Additive Technology) ซึ่งมีส่วนผสมของสารอนินทรีย์ เช่น ซิลิเกต (Silicate) และฟอสเฟต (Phosphate) ในการเคลือบเพื่อป้องกันการกัดกร่อน มีอายุการใช้งานสั้นที่สุด คือประมาณ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร เหมาะสำหรับรถยนต์รุ่นเก่าๆ
  • สีชมพู หรือ สีแดง (Pink / Red): เป็นสีที่นิยมใช้ในน้ำยาหล่อเย็นยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี OAT (Organic Acid Technology) ซึ่งใช้กรดอินทรีย์เป็นสารยับยั้งการกัดกร่อน ไม่มีส่วนผสมของซิลิเกตและฟอสเฟต ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานมาก (Long Life Coolant) ตั้งแต่ 5 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตรขึ้นไป มักพบในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากค่ายญี่ปุ่น (เช่น Toyota, Honda) และค่ายอเมริกัน (GM)
  • สีฟ้า สีส้ม หรือ สีเหลือง (Blue / Orange / Yellow): มักเป็นกลุ่มเทคโนโลยี HOAT (Hybrid Organic Acid Technology) ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อดีของแบบ IAT และ OAT เข้าด้วยกัน โดยใช้กรดอินทรีย์ร่วมกับสารอนินทรีย์ (เช่น ซิลิเกต) เพื่อให้การป้องกันที่รวดเร็วและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน มักใช้ในรถยนต์ค่ายยุโรป (เช่น BMW, Mercedes-Benz) และค่ายอเมริกันบางรุ่น (เช่น Ford, Chrysler)

เติมน้ำหม้อผิดสีจะเกิดอะไรขึ้น

หากรู้เรื่องน้ำหม้อน้ำแล้ว แต่ยังฝืนที่จะเต็มผิด เช่นเทคโนโลยีต่างกัน (เช่น เอาสีเขียว IAT ไปผสมกับสีชมพู OAT) สารเคมีที่อยู่ในน้ำยาทั้งสองชนิดจะทำปฏิกิริยาต่อต้านกันเอง ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์เลวร้ายดังนี้

กลายเป็นวุ้นหรือเจล

เรื่่องแรกคือปัญหาที่พบบ่อยที่สุด สารยับยั้งการกัดกร่อนที่ไม่เข้ากันจะทำปฏิกิริยากันและจับตัวเป็นก้อนหนาคล้ายวุ้นหรือเจลเหนียวๆ

เกิดการอุดตัน

หากเติมผิดมักจะมีสิ่งที่สังเกตได้คือ การเกิด วุ้น เจล หรือตะกอนที่เกิดขึ้น จะลอยไปอุดตันตามส่วนต่างๆ ของระบบระบายความร้อน โดยเฉพาะในช่องทางที่แคบ เช่น รังผึ้งหม้อน้ำ (Radiator Core), ท่อทางเดินน้ำ และ ฮีทเตอร์คอร์ (Heater Core) ที่ใช้ทำความร้อนในห้องโดยสาร

ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างรุนแรง

เมื่อระบบอุดตัน น้ำยาหล่อเย็นจะไม่สามารถไหลเวียนเพื่อนำความร้อนออกจากเครื่องยนต์ได้สะดวก ทำให้ เครื่องยนต์ร้อนจัด (Overheating) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

สูญเสียคุณสมบัติป้องกันสนิม

ปฏิกิริยาเคมีจะทำให้สารป้องกันการกัดกร่อนในน้ำยาทั้งสองชนิดเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์และหม้อน้ำที่สัมผัสกับน้ำโดยตรง เกิดสนิมและการกัดกร่อนได้ง่ายขึ้น

ชิ้นส่วนสำคัญเสียหาย

  • ปั๊มน้ำ ตะกอนแข็งที่เกิดขึ้นอาจไปทำลายซีลของปั๊มน้ำ ทำให้เกิดการรั่วซึมและปั๊มน้ำพังได้
  • เครื่องยนต์ หากปล่อยให้เครื่องยนต์ร้อนจัดเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เช่น ปะเก็นฝาสูบแตก หรือฝาสูบโก่ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงมาก

ดังนั้นหากเติมผิดถ้ารถยังไม่ติดเครื่องควรถ่ายออก แต่ถ้าเติมออกจากอู่และไม่ได้เช็ค ก่อนออกจากอู่ควรหยุดรถเช็คก่อนว่าน้ำหม้อน้ำผิดปกติหรือไม่ แนะนำให้ถ่ายภาพก่อนที่จะเปลี่ยนสีของน้ำหม้อน้ำเดิมไว้ก่อนดีกว่า

การเติมน้ำหม้อน้ำให้ถูกต้องทำอย่างไร

หากรถของคุณยังอยู่ในระยะประกันหรือสายเข้าศูนย์ตลอดเวลาเรื่องนี้อาจจะไม่ต้องคิดอะไร แต่ถ้าคนที่ไม่อยากเข้าศูนย์เพราะประหยัดเงิน จะต้องทำสิ่งต่างๆ ดังนี้

  • เปิดคู่มือประจำรถ ถือเป็นวิธีที่ดีและแม่นยำที่สุด ในคู่มือจะระบุชนิดหรือมาตรฐาน (Specification) ของน้ำยาหล่อเย็นที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำไว้อย่างชัดเจน เช่น "Use Toyota Super Long Life Coolant" หรือ "Meets GM Dex-Cool specifications"
  • ดูที่ฉลากผลิตภัณฑ์ เมื่อไปเลือกซื้อ อย่าดูแค่สี! ให้อ่านฉลากข้างขวดอย่างละเอียด มองหาว่าน้ำยาหล่อเย็นนั้นเป็นประเภท IAT, OAT หรือ HOAT และผ่านการรับรองมาตรฐานสำหรับรถยนต์ยี่ห้อใดบ้าง
  • ใช้ของเดิมเป็นเกณฑ์ หากไม่แน่ใจ และน้ำยาหล่อเย็นในรถยังเป็นของเดิมจากโรงงาน ให้ใช้สีเดิมเป็นแนวทางเบื้องต้น แล้วหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นที่มี "เทคโนโลยี" เดียวกัน (ซึ่งมักจะเป็นสีเดียวกันสำหรับยี่ห้อนั้นๆ)
  • ปรึกษาศูนย์บริการหรือช่างผู้ชำนาญ หากยังไม่มั่นใจ การสอบถามจากศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ หรืออู่ซ่อมรถที่ไว้ใจได้ คือทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

โดยสรุปแล้วการเลือกน้ำยาหล่อเย็นที่ถูกต้อง ควรให้ความสำคัญกับ "เทคโนโลยี (IAT, OAT, HOAT)" และ "มาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ" เป็นหลัก โดยใช้สีเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น การดูแลรักษาระบบหล่อเย็นอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ป้องกันปัญหารถความร้อนขึ้น และช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 13 Aug, 2025
อ่านต่อ

     หลังจากที่เคยเผยโฉมเป็นรถยนต์ต้นแบบในงาน Tokyo Auto Salon 2023 ในที่สุด Honda Prelude ใหม่ เจเนอเรชันที่ 6 ก็พร้อมกลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้งในฐานะรถโปรดักชัน โดยมีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่นเดือนกันยายน 2568 นี้ ก่อนจะตามไปลุยตลาดอเมริกาและยุโรปในปีหน้า

 

 

Honda เผยว่าเป้าหมายของการปั้น Prelude ขึ้นมาใหม่ คือการ "ปลุกความต้องการรถสปอร์ตในอุดมคติ" ที่ผสมผสานความแรงเข้ากับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว

 

แม้จะมองผ่านๆ แล้วมีกลิ่นอายของ Civic แต่ Honda ยืนยันว่า Prelude ใหม่ เป็นมากกว่าแค่ Civic ที่ถูกดัดแปลงเป็นรถคูเป้ ด้วยการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก "เครื่องร่อน (glider)" ทำให้ตัวรถมีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวและเป็นเอกลักษณ์ พร้อม "ฐานล้อที่ปรับให้เหมาะสมและยางขนาดใหญ่" เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ดีกว่า

 

อย่างไรก็ตาม จากภาพภายในจะเห็นว่าพื้นที่ผู้โดยสารตอนหลังค่อนข้างจำกัด และการตกแต่งแบบทูโทนก็มีให้เฉพาะเบาะคู่หน้า ซึ่งอาจเป็นการลดต้นทุนเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับรถยนต์ยุคปัจจุบัน

 

 

ขุมพลังไฮบริด แต่แฝง DNA ความแรงจาก Type R

ไฮไลท์ที่แฟนๆ จับตามองคือเรื่องของสมรรถนะ แม้จะเป็น รถยนต์ไฮบริด แต่ Prelude ใหม่ ก็พกดีกรีความแรงมาไม่ธรรมดา เพราะหยิบยืมฮาร์ดแวร์เด็ดๆ มาจากรุ่นพี่ตัวแรงอย่าง Civic Type R ไม่ว่าจะเป็น:

 

  • ช่วงล่างหน้าแบบ Dual-Axis Strut: ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและลดอาการ Torque Steer ขณะเร่งความเร็ว

  • ระบบเบรก Brembo: มั่นใจได้ในประสิทธิภาพการหยุดรถ

 

ส่วนขุมพลังคาดว่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแบบเดียวกับ Civic e:HEV ที่มีกำลัง 200 แรงม้า แรงบิด 315 นิวตันเมตร แต่หลายฝ่ายคาดว่า Honda น่าจะปรับจูนให้ Prelude มีพละกำลังสูงกว่าเพื่อตำแหน่งทางการตลาดที่สปอร์ตยิ่งขึ้น

 

น่าเสียดายสำหรับสายเหยียบคลัตช์ เพราะ Prelude ใหม่จะ ไม่มีเกียร์ธรรมดา ให้เลือก แต่จะมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติและ โหมด S+ Shift ที่มีแป้น Paddle Shift ให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์เองได้ เพื่อมอบความสนุกเร้าใจในการขับขี่

 

ทั้งนี้ Honda วางตำแหน่งให้ Prelude ไม่ใช่รถแข่งสำหรับลงสนาม (Track-focused) แต่เป็น "Global Model" หรือรถสปอร์ตคูเป้ที่เน้นการขับขี่ในชีวิตประจำวัน มอบความสนุกและประสิทธิภาพไปพร้อมกันส่วนใครที่หวังจะได้เห็นรุ่นที่แรงกว่านี้ ก็มีข่าวลือจากญี่ปุ่นว่าอาจจะมีรุ่น Type S หรือแม้กระทั่ง Type R ตามออกมาในอนาคต แต่คงต้องรอกันอีกยาวๆ

 

สำหรับแฟนๆ ชาวไทยคงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า Honda ประเทศไทย จะนำรถสปอร์ตคูเป้ในตำนานคันนี้กลับเข้ามาทำตลาดในบ้านเราด้วยหรือไม่

 

รูปภาพเพิ่มเติม

https://www.sanook.com/auto/95983/gallery/

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

✅IHI TURBO 🇯🇵

✅GARRETT 🇺🇸

✅MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

✅ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

✅คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

✅สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

✅บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

“โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 01 Aug, 2025
อ่านต่อ

     เปิดตัวแล้วสำหรับ Mazda CX-5 รุ่นใหม่ล่าสุด เพื่อต่อยอดความสำเร็จ Mazdaในกลุ่ม SUV ซึ่ง CX-5 ถือว่าเป็นเรือธงอยู่ แน่นอนว่าการปรับโฉมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบสิบปี โดยเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดตั้งแต่โครงสร้างยันดีไซน์! รวมถึงเครื่องยนต์ใหม่เช่นเดียวกัน

 

รายละเอียดของ Mazda CX-5 ใหม่

มิติตัวถังใหญ่ขึ้น กว้างขวางกว่าเดิม

     All-New CX-5 ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด มีการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้น 3.0 นิ้ว ส่งผลให้ตัวรถยาวขึ้นอีก 4.5 นิ้ว (ความยาวรวมประมาณ 184.6 นิ้ว) ทำให้มีขนาดเทียบเคียงกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Honda CR-V ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

     การขยายขนาดนี้ส่งผลดีโดยตรงต่อการใช้งาน เช่น ประตูใหญ่ขึ้น เข้า-ออกจากรถได้สะดวกสบายกว่าเดิม แก้ปัญหาที่ผู้ใช้รุ่นก่อนเคยติงไว้ ห้องโดยสารแถวหลังกว้างขวางขึ้น Mazda ยืนยันว่าจะมีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่กว้างที่สุดในคลาส  และได้ขยาย พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายเพิ่มขึ้น ฝาท้ายเปิดได้กว้างและต่ำลง ขนของง่ายขึ้น พร้อมพื้นที่ที่ยาวและสูงกว่าเดิม

ดีไซน์ Kodo ยุคใหม่ สู่ทิศทางอนาคตของ Mazda

     ดีไซน์ภายนอกได้รับการยกระดับภายใต้ปรัชญา "Kodo Design" ยุคใหม่ ที่จะกลายเป็นต้นแบบให้ Mazda รุ่นอื่นๆ ในอนาคต โดดเด่นด้วยชุดไฟหน้าแบบซ้อน (Stacked Headlights) ที่ไม่เคยมีในรุ่นไหนมาก่อน มาพร้อมกับ กระจังหน้า "Wing" Grille ถูกปรับให้คมขึ้น เสริมด้วยรายละเอียดบนกันชนที่ทำให้ตัวรถดูกว้างและดุดันขึ้น ด้านหลัง มาพร้อมโลโก้ตัวอักษร "MAZDA" พาดกลางฝาท้าย และชุดไฟท้ายดีไซน์เฉียบคม ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่อย่าง CX-70 ติดตั้งล้อลายสปอร์ตขนาด 19 นิ้วให้เลือกในรุ่นท็อป

ห้องโดยสารใหม่ จอยักษ์ แต่ไร้ปุ่ม!

     อีกจุดที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของ CX-5 ใหม่! รองนี้ได้ หน้าจอกลางขนาดยักษ์ 15.6 นิ้ว เป็นจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรถ Mazda มาพร้อมระบบปฏิบัติการใหม่ที่มี Google Built-In ทำให้สามารถใช้ Google Assistant, Google Maps และแอปอื่นๆ ได้โดยตรง นอกจากนี้ Mazda ตัดสินใจถอดปุ่มควบคุมและปุ่มหมุนปรับเสียงบริเวณคอนโซลกลางออกทั้งหมด! การควบคุมจะทำผ่านหน้าจอสัมผัสและปุ่มบนพวงมาลัยเท่านั้น (ซึ่งยังคงเป็นปุ่มแบบกด ไม่ใช่แบบสัมผัส) และติดตั้ง ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver Assistance System) เวอร์ชั่นล่าสุดอีกด้วย

 

ขุมพลังของ Mazda CX-5

     ในช่วงเปิดตัว All-New CX-5 จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G 2.5 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ ให้กำลัง 187 แรงม้า แรงบิด 185 ปอนด์-ฟุต (ประมาณ 251 นิวตันเมตร) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นมาตรฐาน และคาดว่าจะมีการเปิดตัวขุมพลัง Hybrid ใหม่สำหรับ CX-5! ใสปี 2027 โดยจะใช้เครื่องยนต์ใหม่ "Skyactiv-Z" ซึ่งแตกต่างจาก CX-50 ที่ใช้ระบบไฮบริดของ Toyota โดย Mazda การันตีว่าเครื่องยนต์ใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพเชิงความร้อนสูงกว่า และประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องยนต์ Skyactiv-G ในปัจจุบันอย่างก้าวกระโดด

ราคาและการวางจำหน่าย

     ในส่วนของราคาจำหน่ายของ All-New 2026 Mazda CX-5 ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ โดยราคาในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะขยับขึ้นเล็กน้อยจากรุ่นปัจจุบัน ส่วนสเปคและราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แฟนๆ Mazda คงต้องรอการประกาศจากตัวแทนจำหน่ายกันอีกครั้ง

 

รูปภาพเพิ่มเติม

https://www.sanook.com/auto/95904/gallery/

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 25 Jul, 2025
อ่านต่อ

     Mitsubishi เปิดตัว Mitsubishi Destinator เอสยูวี 3 แถว 7 ที่นั่งรุ่นใหม่ล่าสุด ที่พัฒนาขึ้นเองโดยไม่ได้หยิบยืมแพลตฟอร์มจากพันธมิตรในกลุ่ม Alliance โดยรถคันนี้คือเวอร์ชันผลิตจริงของรถยนต์ต้นแบบ DST Concept ที่เคยเผยโฉมไปเมื่อปีที่แล้ว และเตรียมประเดิมทำตลาดในภูมิภาคอาเซียนเป็นที่แรก

 

ความโดดเด่นของ Mitsubishi Destinator

ดีไซน์และมิติตัวถัง

Mitsubishi Destinator มาพร้อมดีไซน์ที่ดูสมส่วนและแข็งแกร่งในแบบฉบับรถครอบครัว แม้จะถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถที่มีราคาเข้าถึงง่าย แต่ก็มีเส้นสายที่ทันสมัย สำหรับมิติตัวถังนั้น มีความยาว 4,680 มม. กว้าง 1,840 มม. และสูง 1,780 มม. ซึ่งเมื่อเทียบกับ Mitsubishi Outlander จะพบว่า Destinator สั้นและแคบกว่าเล็กน้อย แต่มีความสูงมากกว่า

 

จุดที่น่าสนใจที่สุดคือระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,815 มม. ซึ่งยาวกว่า Outlander อย่างชัดเจน ส่งผลดีโดยตรงต่อพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง นอกจากนี้ยังมาพร้อมความสูงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) ที่ 214 มม. เพียงพอต่อการใช้งานบนถนนที่หลากหลาย

 

ภายในห้องโดยสารและฟังก์ชันเด่น

ภายในของ Destinator เน้นการใช้งานจริง ด้วยการคงปุ่มควบคุมแบบกายภาพเอาไว้ให้กดใช้งานได้สะดวก แต่มีการออกแบบแผงหน้าปัดที่แปลกตาเล็กน้อย ด้วยจอแสดงข้อมูลผู้ขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว ที่ติดตั้งลึกลงไปในกรอบสีดำเงา ขณะที่จออินโฟเทนเมนต์กลางขนาด 12.3 นิ้วจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า แม้จะเป็นรถที่เน้นความคุ้มค่า แต่ Mitsubishi ก็จัดเต็มออปชันมาให้แบบไม่กั๊ก เทียบชั้นรถระดับบนได้สบายๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • หลังคา Panoramic Sunroof
  • ชุดเครื่องเสียงจาก Yamaha
  • ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ปรับได้ 64 สี
  • ช่องเสียบ USB ครบทั้ง 3 แถว
  • ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3 โดยเฉพาะ
  • เบาะนั่งแถวที่ 2 พับแยกแบบ 40:20:40 และแถวที่ 3 พับแยกแบบ 50:50 สามารถพับราบทั้งหมดเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระสูงสุด

 

ขุมพลังและระบบขับเคลื่อน

Mitsubishi Destinator จะทำตลาดด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 161 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ไปยัง ล้อคู่หน้า (FWD) เท่านั้น

 

ระบบช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม (Torsion Beam) ที่ดูแลรักษาง่าย และให้ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วเป็นมาตรฐาน ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 1,495 กิโลกรัม จึงคาดว่าจะให้ความคล่องตัวและอัตราสิ้นเปลืองที่น่าพอใจ นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้ตามสภาพถนน ทั้ง Gravel, Wet, และ Mud

 

ทั้งนี้คาดกว่า Mitsbishi Destinator จะเริ่มทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเป็นรถยนต์รุ่นที่ 3 ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศอินโดนีเซีย ต่อจาก Xpander และ Xforce (หรือ Outlander Sport ในบางประเทศ) การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงอย่างยิ่งที่ Mitsubishi Destinator จะถูกนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง แข่งขันกับคู่แข่งในตลาดอย่าง Honda BR-V, Toyota Veloz หรืออาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับ C-SUV บางรุ่น

รูปภาพเพิ่มเติมคลิก

https://www.sanook.com/auto/95948/gallery/

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 23 Jul, 2025
อ่านต่อ

     แนะนำรถมือสองรุ่นใหญ่ 7 ที่นั่ง ในงบประมาณไม่เกิน 3 แสนบาท เหมาะสำหรับครอบครัวขยาย หรือดัดแปลงเพื่อนำไปใช้งานแบบแคมปิ้งก็ดี จะมีรุ่นไหนให้เลือกบ้างไปดูกันเลย

 

แนะนำรถมือสอง 7 ที่นั่ง ราคาไม่เกิน 300,000 บาท

Toyota Wish รุ่นปี 2004 - 2009

ราคามือสองโดยประมาณ 210,000 - 310,000 บาท

     อันที่จริงต้องบอกว่า Toyota Wish เป็นรถแบบ 6 ที่นั่งเสียมากกว่า เพราะทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมเบาะนั่งแถวที่ 2 แบบกัปตันซีทแยกออกจากกัน สามารถปรับได้อย่างอิสระ มีจุดเด่นอยู่ที่ช่วงล่างแน่นหนึบเน้นความสปอร์ต เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบขับรถเร็ว ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

 

Toyota Innova (โฉมแรก) รุ่นปี 2006 - 2011

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 280,000 บาท

     Toyota Innova โฉมแรกใช้พื้นฐานเดียวกับ Hilux Vigo และ Vigo Champ จึงมีจุดเด่นอยู่ที่ความทนทาน อะไหล่หาง่าย ค่าบำรุงรักษาไม่แพง โดยมากแล้วจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ซึ่งหากใครกังวลเรื่องอัตราสิ้นเปลืองก็สามารถนำไปติดตั้งแก๊สได้ แต่หากได้เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร ก็จะโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะและมีอัตราสิ้นเปลืองต่ำ แลกมาด้วยค่าตัวที่สูงกว่ารุ่นเบนซินพอสมควร

 

Isuzu MU-7 (โฉมไมเนอร์เชนจ์) รุ่นปี 2017 - 2012

ราคามือสองโดยประมาณ 250,000 - 420,000 บาท

     Isuzu MU-7 โฉมสุดท้ายก่อนเปลี่ยนเป็น MU-X เป็นอีกหนึ่งรุ่นยอดนิยม โดยเฉพาะราคามือสองที่เข้าถึงได้ง่าย แม้ว่าหน้าตาอาจจะไม่โดนใจนัก แต่ก็แลกมาด้วยความทนทานสไตล์อีซูซุ ซ่อมบำรุงรักษาไม่ยาก พร้อมด้วยห้องโดยสารกว้างขวางเหมาะสำหรับการใช้งานในครอบครัว

 

Honda Odyssey (RA6) รุ่นปี 2001 - 2005

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 280,000 บาท

     Honda Odyssey เจเนอเรชันที่ 2 รหัสตัวถัง RA6 ยังคงมีรูปลักษณ์ที่สวยงามน่าใช้ ซ่อมบำรุงง่าย ระบบเครื่องยนต์ไม่ซับซ้อน เพราะเป็นเครื่องบล็อกเดียวกับ Accord แต่น่าเสียดายที่เบาะนั่งแถวที่ 2 ไม่ใช่แบบกัปตันซีทแยกเหมือนกับเจเนอเรชันแรก แต่ถึงกระนั้นก็ถือว่าเป็นรถเอ็มพีวีรุ่นหนึ่งที่น่าใช้งานแลกกับค่าตัวเริ่มต้นไม่ถึง 2 แสนบาท

 

Mitsubishi Space Wagon (รุ่นปี 2005 - 2011)

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 370,000 บาท

     อดีตรถเอ็มพีวีระดับแฟลกชิปของค่ายมิตซูบิชิ ปัจจุบันมีค่าตัวในระดับที่เข้าถึงได้ง่าย ส่วนใหญ่จะป้วนเปี้ยนในระดับ 2 - 3 แสนบาทขึ้นอยู่กับรุ่นปี ห้องโดยสารกว้างขวางรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ แต่เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ที่ต้องแบกรับน้ำหนักบอดี้อันใหญ่โตก็ถือว่าตอบสนองได้แต่พอใช้ และขึ้นชื่อว่ากินน้ำมันโหด แต่หากหันไปคบแอลพีจีก็สบายใจได้ในระดับหนึ่ง

 

Ford Everest (โฉมไมเนอร์เชนจ์) รุ่นปี 2007 - 2011

ราคามือสองโดยประมาณ 270,000 - 350,000 บาท

     งบไม่เกินสามแสนก็สามารถเป็นเจ้าของ Ford Everest เจเนอเรชันแรกได้ แนะนำให้เล่นรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ได้เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Duratorq แล้ว เนื่องจากพละกำลังดีกว่า อัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่า และรูปโฉมที่ดูทันสมัยมากกว่า

 

Kia Grand Carnival รุ่นปี 2006 - 2012

ราคามือสองโดยประมาณ 260,000 - 420,000 บาท

     Kia Grand Carnaval เป็นรถ 11 ที่นั่งแท้ๆ มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เพดานโปร่ง พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.9 ลิตรที่มีเรี่ยวแรงใช้ได้ ขับทางไกลสบาย แต่ต้องใส่ใจในด้านบำรุงรักษากันสักนิด โดยเฉพาะการหาอู่เฉพาะทางเพื่อซ่อมแซมปัญหาต่างๆ ที่จะทยอยเกิดตามอายุการใช้งาน

 

     ทั้งนี้ การเลือกซื้อรถมือสองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูสภาพรถให้รอบคอบ ต้องไม่ผ่านการชนหนัก หรือพลิกคว่ำ สามารถตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุงที่ผ่านมาได้ ทางที่ดีหากดูรถมือสองไม่เป็นแล้วล่ะก็ ควรพาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญไปช่วยเลือกด้วย เพื่อให้ได้รถที่มีสภาพดีเหมาะกับการใช้งานมากที่สุดครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 06 Jun, 2025
อ่านต่อ

     คนบ่นไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่เคยบ่น! เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งของหลาย ๆ อย่างนะครับ โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดียแบบนี้ เรื่องของ “รถ EV” คือหนึ่งในนั้น ยิ่งเมื่อมีข่าวในเชิงลบออกมาทีไร โลกโซเชียลก็จะกระหน่ำทันที จนทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า หากซื้อรถ EV มาใช้งานครบ 8 ปี เมื่อหมดประกันแบตเตอรี่ แล้วจะอย่างไรต่อ?

 

บางคนบอกว่าเมื่อใช้รถไฟฟ้าครบ 8-10 ปี หากแบตเตอรี่เสื่อมหรือพัง รถคันนั้นอาจจะไม่ต่างกับเศษเหล็ก หรือต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ราคาไม่ต่างกับการซื้อรถใหม่ได้เกือบ 1 คัน แท้จริงแล้วมันเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ! เอาจริง ๆ คำตอบในอีก 8 ปีข้างหน้า ถ้าพูดตอนนี้คงไม่มีใครรู้แน่นอนครับว่าถึงตอนนั้นสถานการณ์ EV จะเป็นอย่างไร

 

หลังจากที่ผมมีโอกาสได้ทดลองขับรถ EV แบบใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ยอมรับครับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันดีมาก ไม่ว่าจะขับทางไกลหรือในเมือง ช่วยประหยัดได้จริง อัตราเร่งก็ดี ต้องยอมรับว่าแม้ EV จะมีคอนเซปต์รักษ์โลก แต่คนที่ซื้อรถไฟฟ้ามาขับ เขามองเรื่องความประหยัดมาเป็นอันดับแรกกันทั้งนั้น ซึ่งมันตอบโจทย์ได้ในทันที

 

มีพรรคพวกถามผมเข้ามาว่า หากวันนี้ในงบเท่า ๆ กัน ควรจะเลือกซื้อ EV หรือรถเครื่องยนต์สันดาป หรือไฮบริดดี และราคาขายต่อ EV ในอนาคตจะหล่นฮวบจริงหรือไม่ บอกเลยว่ามันคือคำถามที่ตอบยากกกก! เพราะหากจะเปรียบเทียบกันจริง ๆ ระหว่างรถไฟฟ้ากับรถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง มันยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมากมายครับ

 

จากประสบการณ์ที่ได้คุยกับคนที่ซื้อรถไฟฟ้ามาขับ ทุกคนไม่เคยบ่นและไม่เคยคิดถึงเรื่องการขายต่อใน 8-10 ปีข้างหน้า มีแต่บอกว่าคิดว่าจะไม่กลับไปใช้รถน้ำมันอีกแล้ว ส่วนบางคนที่มีทุนทรัพย์เพียงพอก็ซื้อ EV มาขับเพิ่มอีกคันก็มี (อันนี้ก็ไม่ว่ากัน) ในที่นี้ขอพูดถึง EV ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศใช้กันในระดับไม่เกิน 1 ล้านบาทก็แล้วกันนะครับ

 

รถ EV ระดับไม่เกินล้านที่ทำตลาดในบ้านเราตอนนี้มี ORA Good Cat, MG4, MG ES, MG ZS EV, BYD ATTO3 และ BYD Dolphin ส่วนรถเครื่องยนต์สันดาป จะมีตั้งแต่อีโค คาร์ ไปจนถึงรถซี-เซ็กเมนต์ อย่าง Toyota Altis, Honda Civic และ Mazda 3 รวมถึงรถอเนกประสงค์ก็มีหลายรุ่น อาทิ Corolla Cross, Veloz, CX-30 และ Mitsubishi Xpander

 

การเปรียบเทียบเรื่องความประหยัดคุ้มค่า โดยมีโจทย์คือซื้อตอนนี้แล้วขายต่อในปีที่ 8 แน่นอนว่าราคาเติมน้ำมันจะแพงกว่าราคาชาร์จไฟราว 5 เท่า ยกตัวอย่าง รถยนต์เครื่องสันดาปที่กินน้ำมันราว 15 กิโลเมตรต่อลิตร จะเสียค่าน้ำมันกิโลเมตรละ 2.60 บาท ส่วน EV ที่ผมได้ทดสอบมา จะเสียค่าชาร์จไฟกิโลเมตรละ 0.50-0.60 บาท

 

ส่วนราคาขายต่อรถเครื่องยนต์สันดาปค่ายดัง อย่าง Altis และ Civic เชื่อว่าในอีก 8 ปีข้างหน้าราคาก็ยังไม่ตกมาก หากยึดมาตรฐานราคาปัจจุบัน จากป้ายแดง 1 ล้านบาท ราคาขายต่อระดับ 4-5 แสนบาทน่าจะต้องมี ส่วน EV ตอนนี้ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่ และนี่ล่ะครับ ผมบอกว่ายังมีปัจจัยจัยอื่น ๆ ที่จะมีผลต่อราคามือสองในอนาคต

 

หนึ่งในปัจจัยสำคัญในอีก 8 ปีข้างหน้า คือ การพัฒนาแบตเตอรี่ เมื่อถึงตอนนั้นอาจจะถูกลงมาก็ได้ อย่างแบตเตอรี่ของ BYD ที่เรเว่ ออโตโมทีฟ เปิดเผยออกมาว่ารุ่นสแตนดาร์ดอยู่ที่ 528,730 บาท ในอีก 8 ปีข้างหน้า ราคาจะอยู่ที่เท่าไร ซึ่งคาดว่าราคา EV มือสองจะผันตามราคาแบตเตอรี่ ณ ตอนนั้นแน่นอน

 

แต่ครับแต่! มาถึงตรงนี้อย่าเข้าใจผิดว่าแบตเตอรี่รถ EV เมื่อหมดประกันมันจะพังแล้วต้องเปลี่ยนใหม่อย่างเดียวนะครับ ในความเป็นจริง แบตเตอรี่ในรถคันนั้นก็ยังสามารถใช้งานต่อไปได้เรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าประสิทธิภาพจะลดลง อาทิ จากรถป้ายแดง ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ 400 km แต่เมื่อประสิทธิภาพของแบตลดลง ก็อาจวิ่งได้ 300-350 km ประมาณนั้นครับ

 

     ฉะนั้น หัวข้อที่ผมพาดหัวไว้ “ใช้รถ EV ครบ 8 ปี แล้วไงต่อ” คำตอบก็คือยังใช้งานต่อไปได้เรื่อย ๆ ครับ ขึ้นอยู่ว่าแบตฯ จะเสื่อมมากหรือน้อยเท่านั้น แต่จะคุ้มกว่ารถสันดาปไหมอยู่ที่การใช้งานครับ ถ้าขับเยอะก็น่าจะคุ้มจนลืมประเด็นขายต่อไปได้เลย ส่วนใครที่ใช้รถสันดาปก็วางใจเรื่องราคาขายต่อได้เลย เพราะถึงวันนั้นสัดส่วนก็ยังมากกว่ารถ EV อยู่ดีครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 09 Apr, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.