×
หน้าหลัก > บทความประจำเดือน December 2023
บทความประจำเดือน December 2023
แสดง รายการ

ใกล้ถึงช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว หลายคนมีแผนขับรถเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลำเนายังต่างจังหวัด การเตรียมรถให้พร้อมก่อนออกเดินทางเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เราจึงเตรียมเช็กลิสต์ 5 สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนออกเดินทาง มีอะไรบ้าง?

 

1. ตรวจเช็กห้องเครื่องยนต์

แม้ว่าจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับระบบกลไกของเครื่องยนต์ ก็สามารถตรวจสอบสภาพเบื้องต้นภายในห้องเครื่องได้ โดยเช็กระดับของเหลวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเบรก, น้ำยาหม้อน้ำ, น้ำฉีดล้างกระจก ฯลฯ

     ของเหลวทั้งหมดจะต้องอยู่ในระดับที่พอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป หากพบว่ามีสีหรือกลิ่นผิดแปลกไปจากปกติ ควรรีบนำรถเข้ารับการตรวจสอบและแก้ไขก่อนออกเดินทาง จะได้ไม่เกิดปัญหาระหว่างทาง

 

2. ตรวจเช็กสภาพยาง

ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนตลอดเวลา ควรตรวจเช็กแรงดันลมยางให้เหมาะสมตามที่ระบุไว้ในคู่มือหรือสติกเกอร์บริเวณเสาฝั่งผู้ขับขี่ กรณีต้องบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระเต็มคัน ควรเพิ่มแรงดันลมยางคู่หลังมากกว่าปกติ 2-4 ปอนด์ เพื่อชดเชยกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมา

     ตรวจเช็กด้วยสายตาว่าดอกยางยังคงเหลือมากกว่า 2 มิลลิเมตรขึ้นไป เพื่อคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในการรีดน้ำ และยางจะต้องไม่มีรอยแตกลายงา หรือรอยบิ่นใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างยาง ซึ่งอาจทำให้ยางเกิดระเบิดเมื่อใช้ความเร็วสูงได้

3. ตรวจเช็กไฟส่องสว่างรอบคัน

ไฟส่องสว่างทุกดวงจะต้องติดครบ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า, ไฟท้าย, ไฟเบรก, ไฟเลี้ยว, ไฟถอยหลัง รวมถึงไฟตัดหมอก (ถ้ามี) หากพบว่าหลอดใดหลอดหนึ่งขาดควรรีบเปลี่ยนก่อนออกเดินทาง

4. ตรวจเอกสารประจำรถ

ควรพกสำเนาคู่มือจดทะเบียนไว้ในรถเผื่อถูกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ (เก็บเล่มจริงไว้ที่บ้านเพื่อป้องกันการสูญหาย) กรมธรรม์ประกันภัยต่างๆ ทั้ง พ.ร.บ. และประกันภัยภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, 2, 3 และอื่นๆ) รวมถึงควรมีเบอร์โทรฉุกเฉินไว้เผื่อกรณีรถเสียหรือประสบอุบัติเหตุ จะได้ขอรับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

5. เตรียมความพร้อมของผู้ขับขี่

งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 24 ชั่วโมง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากจำเป็นต้องออกเดินทางในยามวิกาล ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมมากกว่าปกติ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังกายเพื่อป้องกันการอ่อนเพลีย และจัดสรรเวลาพักผ่อนอย่างรอบคอบก่อนออกเดินทาง

     เพื่อป้องกันอาการหลับในขณะขับรถ ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ, ชา (หลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาล) ลดอาการประเภทแป้งและอาหารที่มีน้ำตาลสูง จอดแวะพักเป็นระยะเพื่อกระตุ้นความสดชื่น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เดินทางถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัยแล้วล่ะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 27 Dec, 2023
อ่านต่อ

     หลายคนคงเคยพบเห็นสนิมที่เกาะอยู่บนจานเบรก ซึ่งมักพบได้บ่อยหลังการล้างรถ หรือจอดรถทิ้งไว้ท่ามกลางสายฝน ว่าแต่สนิมเหล่านี้ส่งผลอันตรายต่อการขับขี่หรือไม่ เราจะมาไขข้อข้องใจให้ทราบกันครับ

 

     สนิมที่เกาะอยู่บนผิวจานเบรกเรียกว่าสนิมแดง ซึ่งเกิดได้จากความชื้น สามารถเห็นได้ชัดภายหลังจากที่จอดรถทิ้งไว้นานๆ หรือมีน้ำฝนกระเซ็นไปโดนจานเบรก แต่สนิมประเภทนี้แทบไม่มีการกัดกร่อนจานเบรกเลย จึงไม่ส่งผลต่อการใช้งานใดๆ ทั้งสิ้น หากพบสนิมเหล่านี้เกาะอยู่บนจานเบรกก็ไม่ได้หมายความว่าจานเบรกเสื่อมสภาพหรือหมดอายุแต่อย่างใด

     ส่วนวิธีกำจัดสนิมเหล่านี้ก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่คุณนำรถออกไปใช้งานตามปกติ ทุกครั้งที่มีการเหยียบเบรกก็จะเป็นการกำจัดสนิมเหล่านี้ออกไป ทำให้จานเบรกกลับมาสะอาดดังเดิม แต่การเหยียบเบรกครั้งแรกๆ อาจมีเสียงครืดคราดให้พอได้ยินเบาๆ เท่านั้น และไม่ถือว่าเป็นอันตรายแต่อย่างใด

 

     ดังนั้น หากใครกังวลว่าสนิมเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อระบบเบรกของตัวรถ รู้แบบนี้แล้วก็สบายใจได้เลย เพราะไม่มีอันตรายใดๆ อย่างแน่นอนครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 27 Dec, 2023
อ่านต่อ

     การขับรถบนทางด่วนมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง เนื่องจากเป็นทางตรงระยะยาวที่ผู้ขับขี่สามารถใช้ระดับความสูงกว่าถนนทั่วไป เป็นเหตุให้เห็นข่าวอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกับเจ้าของรถที่จอดเสียอยู่ข้างทาง แต่กลับเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างคาดไม่ถึง

 

     และเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ Tonkit360 มีคำเตือนถึงสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อ “รถเสีย” บนทางด่วน มาฝากกัน

 

สิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อ “รถเสีย” บนทางด่วน

     1. จอดรถขวางเส้นทางจราจร หรือกีดขวางทางขึ้น-ลงทางด่วน

     บนทางด่วนรถยนต์ส่วนใหญ่ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นทางตรงระยะยาว ฉะนั้น หากรถของคุณเริ่มมีอาการเกเร ขอให้รีบขับชิดไหล่ทางด้านซ้ายสุดทันที เพื่อไม่ให้กีดขวางช่องทางการจราจร

     และหากจุดที่รถของคุณจอดเสียอยู่ คือ บริเวณทางขึ้น-ลงทางด่วน ขอให้รีบนำรถออกให้พ้นบริเวณดังกล่าว เนื่องจากบริเวณทางขึ้น-ลงทางด่วน เป็นจุดที่มีไหล่ทางแคบ เป็นคอขวด และทางแยก การจอดรถตรงจุดนั้น อาจทำให้รถคันอื่นมองไม่ชัดเจน ทั้งยังบดบังวิสัยทัศน์ด้วย

     2. ไม่เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน หรือส่งสัญญาณเตือนแบบอื่น ๆ

     หากรู้ว่า รถมีอาการผิดปกติขอให้เปิดไฟฉุกเฉินทันที เพื่อเป็นสัญญาณเตือนกับเพื่อนร่วมทาง และเมื่อนำรถเข้าข้างทางสำเร็จ ให้เปิดฝากระโปรงท้าย พร้อมนำกรวย ป้ายสะท้อนแสง กิ่งไม้ หรือวัสดุอื่นมาวางให้ห่างจากรถในระยะไม่ต่ำกว่า 50 เมตร เมื่ออยู่ในเขตเมือง

     แต่ถ้าอยู่บนทางหลวงสายหลัก ให้วางสิ่งของห่างจากรถในระยะไม่ต่ำกว่า 100-150 เมตร เพื่อเตือนให้ผู้ขับรถคันอื่นทราบว่ามีรถจอดเสีย จะได้เพิ่มความระมัดระวังและเปลี่ยนช่องทางเดินรถได้ทัน

     3. ไม่หมุนพวงมาลัย ให้ล้อหักเข้าขอบทาง

     หลังจากนำรถเข้าข้างทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อหักเข้าขอบทาง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุซ้ำซ้อน ในกรณีถูกรถที่ขับตามมาพุ่งชนท้าย รถของคุณจะได้ไม่พุ่งออกขวา หรือพุ่งชนรถคันอื่น

     4. เปิดประตูรถทางด้านขวามือทิ้งไว้

     การที่คุณเปิดประตูรถทางด้านขวามือทิ้งไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้อนขึ้นได้ เนื่องจากผู้ขับขี่ที่ตามมาอาจต้องเบี่ยงรถออกซ้ายกะทันหันจนเกิดเหตุเฉี่ยวชนได้

     5. ลงมายืนรอความช่วยเหลือด้านนอกรถ

     การลงมายืนรอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ด้านนอกรถเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้ขับขี่คนอื่นอาจขับมาด้วยความเร็ว และไม่ทันสังเกตว่ามีรถจอดเสียอยู่ ทำให้พุ่งชนท้ายรถ จนทำให้คุณซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าหรือด้านข้างรถเสียชีวิต ดังนั้น เมื่อคุณโทรขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่แล้ว ขอให้นั่งรออยู่ภายในรถ พร้อมคาดเข็มขัดนิรภัย

 

     อย่างไรก็ดี หากผู้ขับขี่ทุกคนต่างเคารพและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ย่อมเป็นวิธีการปัองกันอุบัติเหตุอันนำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้ดีที่สุด

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 27 Dec, 2023
อ่านต่อ

     ปัญหารถสตาร์ตไม่ติดเป็นปัญหากว้างๆ ที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยบางครั้งอาการขณะสตาร์ตสามารถบอกได้ด้วยว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร เราจึงได้รวบรวมปัญหายอดฮิตที่ทำให้รถสตาร์ตไม่ติด มีอะไรบ้าง?

 

1.แบตเตอรี่เสื่อม

     แบตเตอรี่เสื่อมเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากแบตเตอรี่มักมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปีครึ่ง ถึง 2 ปี สังเกตได้จากเสียงสตาร์ตจะค่อนข้างเอื่อยกว่าปกติ จนสุดท้ายจะมีเพียงเสียงแช้ะแล้วเงียบไป โดยมักพบอาการในขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ตอนเช้า หรือหลังจากจอดรถไม่ได้ใช้งานหลายวัน

     วิธีแก้ไขไม่ยาก คือ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 1 พันบาทปลายๆ (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อแบตเตอรี่และขนาดที่ใช้)

2.ไดสตาร์ตเสีย

     ไดสตาร์ทเป็นชิ้นส่วนที่มีอายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน จึงมักพบปัญหาไดสตาร์ตเสื่อมกับรถรุ่นเก่าเท่านั้น โดยอาการของไดสตาร์ตเสื่อม คือ บิดกุญแจแล้วไม่มีเสียงใดๆ แต่ไฟหน้าปัดติดครบ และแบตเตอรี่ยังคงใช้งานได้ดี ซึ่งการเปลี่ยนไดสตาร์ตจะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและความยากง่ายของการหาอะไหล่

3.น้ำมันหมด

     น้ำมันหมดก็ถือเป็นอาการที่พบได้บ่อยเช่นกัน เพราะหากมีปริมาณน้ำมันในถังเหลือน้อย บางครั้งการจอดรถที่พื้นที่ลาดเอียงก็อาจทำให้ปั๊มติ๊กไม่สามารถดูดเชื้อเพลิงในถังได้ ส่งผลให้มีอาการสตาร์ตไม่ติด แต่ทางที่ดีไม่ควรปล่อยให้น้ำมันเกลี้ยงถังอยู่บ่อยๆ ควรเติมน้ำมันทันทีหลังจากขึ้นขีดแดงจะดีกว่า

4.ปั๊มติ๊กไม่ทำงาน

     ปั๊มติ๊ก หรือ ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง มีหน้าที่ดูดน้ำมันจากถังเชื้อเพลิงส่งให้กับเครื่องยนต์ หากปั๊มติ๊กเกิดเสียหรือน็อค ก็จะทำให้รถดับกลางทางและสตาร์ตไม่ติดได้ ซึ่งอาการของปั๊มติ๊กเสียจะมีเสียงสตาร์ตตามปกติแต่เครื่องยนต์ไม่ติด ต่อให้บิดกุญแจอย่างไรเครื่องยนต์ก็ไม่ติด แบบนี้อาจต้องยกเข้าอู่เพื่อทำการแก้ไข โดยมักมีค่าใช้จ่ายรวมค่าแรงประมาณ 3 พันบาทขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ)

5.ไดชาร์จเสีย

     อย่าสับสนระหว่างไดชาร์จและไดสตาร์ต เนื่องจากทั้งคู่มีหน้าที่การทำงานแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยไดชาร์จจะมีหน้าที่สร้างกระแสไฟจากการทำงานของเครื่องยนต์ส่งไปเก็บไว้ยังแบตเตอรี่ ดังนั้น หากไดชาร์จเสียก็จะทำให้ไฟในแบตเตอรี่ค่อยๆ หมดไปจนเครื่องยนต์ดับกลางทาง และสุดท้ายก็จะมีอาการเหมือนแบตเตอรี่เสื่อมนั่นเอง

6.ระบบไฟฟ้าผิดปกติ

     ปัญหาการสตาร์ทไม่ติดที่เกิดขึ้นจากระบบไฟฟ้ามีสาเหตุค่อนข้างกว้าง ตั้งแต่หนูกัดสายไฟขาดไปจนถึงกล่องควบคุมเครื่องยนต์ หรือ ECU มีปัญหา ทางที่ดีหากปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจาก 5 ข้อที่กล่าวถึงด้านบนแล้วล่ะก็ ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญรถของคุณเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุดนั่นเอง

 

     อย่างไรก็ดี ปัญหารถสตาร์ตไม่ติดสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการดูแลบำรุงรักษารถยนต์อย่างเหมาะสมอยู่เป็นประจำ จะได้ไม่ต้องหงุดหงิดเสียอารมณ์กลางทางไงล่ะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 27 Dec, 2023
อ่านต่อ

     กุญแจรถเป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่มีโอกาสสูญหายได้เสมอ แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดโชคร้ายทำกุญแจหล่นหายขึ้นมาจริงๆ จะต้องทำอย่างไรต่อไป? วันนี้ เรามีคำตอบมาฝากกันครับ

 

กุญแจแบบ Smart Key หาย 1 ดอก

     โดยปกติแล้วรถใหม่ป้ายแดงที่มีระบบ Smart Key จะมีกุญแจมาให้ทั้งหมด 2 ชุด รถบางรุ่นอาจมีกุญแจสำรองสำหรับเสียบไขเพิ่มเติมให้อีก 1 ดอกด้วย หากว่าดอกใดดอกหนึ่งหายไป คุณยังสามารถนำกุญแจสำรองอีก 1 ดอกมาใช้งานได้ตามปกติ

     แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการสูญหายของตัวรถหรือทรัพย์สินภายในรถ คุณควรนำกุญแจสำรองที่เหลือไปยังศูนย์บริการเพื่อทำกุญแจดอกใหม่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 4-5 พันบาทขึ้นไปขึ้นอยู่กับรุ่นรถ พร้อมทั้งให้ศูนย์บริการลบกุญแจเดิมที่สูญหายออกจากระบบ จะช่วยให้กุญแจดอกเดิมไม่สามารถล็อก-ปลดล็อก รวมถึงสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ (พึงระลึกด้วยว่ากุญแจแบบเสียบที่ซ่อนอยู่ในกุญแจ Smart Key ยังสามารถนำมาไขเพื่อเข้าไปในห้องโดยสารหรือเปิดฝากระโปรงท้ายได้ แต่จะใช้สตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ได้)

กุญแจแบบ Smart Key หายทั้งหมด

     หากว่าโชคร้ายทำกุญแจหายทั้ง 2 ดอกขึ้นมาจริงๆ ให้นำแผ่นหมายเลขที่ห้อยมากับกุญแจติดต่อไปยังศูนย์บริการ จากนั้นจะมีกระบวนการออกกุญแจใหม่ให้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของที่แท้จริงด้วย จากนั้นศูนย์บริการจะทำการลบกุญแจดอกที่หายไปทั้งหมดเพื่อป้องกันไม่ให้สามารถนำกลับมาใช้งานได้

กุญแจแบบปกติที่ไม่ใช่ Smart Key หาย 1 ดอก และยังมีกุญแจสำรอง

     กรณีเป็นกุญแจแบบธรรมดาที่ไม่ใช่ระบบ Smart Key สามารถนำกุญแจดอกที่เหลือไปติดต่อยังศูนย์บริการหรือร้านทำกุญแจเฉพาะทาง เพื่อก๊อปปี้กุญแจดอกใหม่ขึ้นมาได้ หากเป็นกุญแจที่มีระบบ Immobilizer จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อจูนรหัสกุญแจเพื่อให้สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ตามปกติ

กุญแจแบบปกติหายทั้งหมด และไม่มีกุญแจสำรอง

     อันนี้ถือว่างานใหญ่พอสมควร หากเป็นศูนย์บริการก็จะแนะนำให้เจ้าของรถเปลี่ยนชุดกุญแจใหม่ทั้งหมด ทั้งบริเวณประตู, ฝากระโปรงท้ายและคอพวงมาลัย ซึ่งวิธีอาจมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาทเลยทีเดียว แต่จะช่วยให้กุญแจดอกเดิมไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกต่อไป

     อีกวิธีหนึ่งที่ช่างกุญแจทั่วไปนิยมใช้ คือ การรื้อกุญแจฝากระโปรงท้ายออกจนเหลือเฉพาะแกนด้านในที่มีลักษณะเป็นเขี้ยวกุญแจ จากนั้นทำการก๊อปปี้ร่องกุญแจเพื่อทำดอกใหม่ขึ้นมา หากว่าเป็นกุญแจที่ไม่มีระบบ Immobilizer ก็สามารถนำไปใช้ได้ตามปกติทันที แต่หากมีระบบ Immobilizer ด้วยล่ะก็ จะสามารถไขเพื่อเข้าไปในตัวรถได้เพียงอย่างเดียว แต่จะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ จำเป็นต้องยกรถเข้าศูนย์บริการเพื่อจูนรหัสกุญแจให้สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ตามปกติ พร้อมทั้งลบกุญแจชุดเก่าที่สูญหายออกจากระบบด้วย

 

     เห็นไหมครับว่าการทำกุญแจรถหายถือเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรทีเดียว หากปัจจุบันรถของคุณเหลือกุญแจเพียงชุดเดียว ก็ควรรีบทำกุญแจสำรองใหม่เก็บไว้ จะได้ไม่ได้เดือดร้อนในภายหลังครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 27 Dec, 2023
อ่านต่อ

     รู้หรือไม่ว่าหากประสบอุบัติเหตุจนทำให้กรวยจราจรหรือแบริเออร์กั้นจราจรเกิดความเสียหาย ผู้ขับขี่จะต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงินเท่าใด?

 

     หลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าหากขับรถประสบอุบัติเหตุชนเสาไฟฟ้า ผู้ขับขี่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดใช้ความเสียหายตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท หรือกรณีขับรถชนต้นไม้ก็เช่นเดียวกัน อาจถูกเรียกปรับเป็นจำนวนเงินตั้งแต่ 2,000 บาท ไปจนถึง 8,000 บาท ขึ้นอยู่กับอายุและขนาดของต้นไม้ที่ได้รับความเสียหาย

     เช่นเดียวกับกรวยจราจร, แบริเออร์ รวมถึงเสาล้มลุก ก็ถือเป็นของหลวงที่ผู้ขับขี่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดใช้หากกระทำการอันใดจนทำให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม โดยหากเป็นกรวยจราจรจะมีค่าปรับอยู่ที่ประมาณ 200-800 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและความเสียหาย, แผงกั้นจราจร (แบริเออร์) ประมาณ 1,000-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และค่าติดตั้ง และเสาล้มลุกประมาณ 800-3,500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของเสา

 

     โดยค่าปรับสุทธิที่ผู้ขับขี่จำเป็นต้องจ่าย จะถูกพิจารณาเป็นแต่ละกรณีไป ซึ่งอาจถูกหรือแพงกว่าที่ระบุไว้ข้างต้นก็เป็นได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 27 Dec, 2023
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2024 Vevo Systems Co., Ltd.