×
ผลการค้นหา : SQD
แสดง รายการ

     ระบบแอร์รถยนต์เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การขับขี่สะดวกสบาย โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย แต่เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ จะสะสมอยู่ในระบบแอร์ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เกิดกลิ่นอับ และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร การล้างแอร์รถยนต์จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ

 

ควรล้างแอร์รถยนต์ทุกกี่ปี

โดยทั่วไป ควรล้างแอร์รถยนต์ทุก ๆ 1-2 ปี หรือทุก ๆ 20,000-40,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน หากใช้งานรถยนต์ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองมาก หรือใช้งานแอร์เป็นประจำ ควรล้างแอร์บ่อยขึ้น เช่น ทุก ๆ 1 ปี หรือทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ หากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าแอร์รถยนต์มีปัญหา เช่น ลมแอร์ไม่เย็น มีกลิ่นอับ หรือมีเสียงดังผิดปกติ การล้างแอร์อาจแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นได้

 

ล้างแอร์รถยนต์มีทั้งหมดกี่แบบ

การล้างแอร์รถยนต์มี 2 แบบหลัก ๆ คือ

ล้างถอดตู้ เป็นการล้างแอร์ที่ต้องถอดตู้แอร์ออกมาทำความสะอาดภายนอก เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานมานาน หรือมีปัญหาแอร์ไม่เย็นอย่างรุนแรง การล้างแบบนี้จะทำความสะอาดได้ทั่วถึงมากกว่า แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า และใช้เวลานานกว่า

ล้างไม่ถอดตู้ เป็นการล้างแอร์โดยไม่ต้องถอดตู้แอร์ออกมา ทำความสะอาดโดยการฉีดน้ำยาเข้าไปในช่องแอร์โดยตรง เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานไม่นาน หรือมีปัญหาแอร์ไม่เย็นเล็กน้อย การล้างแบบนี้มีค่าใช้จ่ายถูกกว่า และใช้เวลาน้อยกว่า แต่ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึงเท่าแบบถอดตู้

ล้างแอร์รถยนต์ราคาเท่าไหร่

ราคาล้างแอร์รถยนต์จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทการล้าง รุ่นรถยนต์ และอู่ซ่อมรถยนต์ โดยทั่วไป ราคาล้างแอร์แบบไม่ถอดตู้อยู่ที่ประมาณ 500-1,500 บาท และราคาล้างแอร์แบบถอดตู้อยู่ที่ประมาณ 2,000-4,000 บาท

     การล้างแอร์รถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาสุขภาพของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และช่วยให้ระบบแอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเลือกประเภทการล้างแอร์ให้เหมาะสมกับสภาพรถยนต์ และเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ที่มีความชำนาญ เพื่อให้การล้างแอร์เป็นไปอย่างมีคุณภาพ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 29 Apr, 2025
อ่านต่อ

   การขับรถผ่านลูกระนาดโดยไม่ชะลอความเร็วเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อช่วงล่างรถยนต์อย่างมาก ทำให้ช่วงล่างพังไวขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากช่วงล่างต้องรับแรงกระแทกอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชิ้นส่วนต่างๆ และทำให้เกิดความเสียหายได้

 

ไม่ชะลอความเร็วผ่านลูกระนาด ทำไมช่วงล่างถึงพังไว?

เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วและผ่านลูกระนาด ช่วงล่างจะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง ซึ่งแรงกระแทกนี้จะส่งผลต่อชิ้นส่วนต่างๆ ของช่วงล่างโดยตรง แรงกระแทกจะทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของช่วงล่าง เช่น โช้คอัพ ลูกหมาก ปีกนก บูชยาง และเพลาขับ ได้รับความเสียหายหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

     นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการควบคุมรถ ทำให้รถมีอาการสั่นสะเทือน ควบคุมทิศทางได้ยาก และอาจเกิดอันตรายได้ นอกจากช่วงล่างแล้ว แรงกระแทกยังส่งผลต่อยางและล้อ ทำให้ยางบวม ล้อคดงอ หรือเกิดความเสียหายอื่นๆ ได้

 

ชิ้นส่วนไหนเสี่ยงพังมากที่สุด

ชิ้นส่วนที่เสี่ยงต่อการพังมากที่สุดเมื่อขับรถผ่านลูกระนาดโดยไม่ชะลอความเร็ว ได้แก่ โช้คอัพ ลูกหมากปีกนก และบูชยาง โช้คอัพเป็นส่วนที่รับแรงกระแทกโดยตรง หากได้รับแรงกระแทกมากเกินไป อาจทำให้โช้คอัพแตกหรือเสียหายได้

     ลูกหมากปีกนกและบูชยางเป็นส่วนที่เชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ของช่วงล่าง หากได้รับแรงกระแทกมากเกินไป อาจทำให้ลูกหมากหลวมหรือบูชยางฉีกขาดได้ นอกจากนี้ จานเบรก คาลิปเปอร์เบรก และลูกปืนล้อ ก็เป็นชิ้นส่วนที่อาจได้รับความเสียหายจากแรงกระแทกได้เช่นกัน

ขับผ่านลูกระนาดควรปฏิบัติอย่างไร

เมื่อขับรถผ่านลูกระนาด ควรชะลอความเร็วและปล่อยให้รถค่อยๆ เคลื่อนที่ผ่าน หลีกเลี่ยงการขับรถตกหลุม หรือขับรถบนถนนที่ขรุขระ หากจำเป็นต้องขับรถผ่านลูกระนาดหรือถนนที่ไม่ดี ควรลดความเร็วให้มากที่สุด และหลีกเลี่ยงการเบรกหรือเร่งความเร็วในขณะที่รถกำลังผ่านลูกระนาด

     การดูแลรักษารถยนต์เป็นประจำ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้รถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน การนำรถเข้าตรวจเช็กช่วงล่างเป็นประจำ จะช่วยให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบสภาพและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 29 Apr, 2025
อ่านต่อ

     เกียร์ S หรือโหมด Sport จะช่วยให้การขับรถเป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่หลายคนมองว่าการขับด้วยเกียร์ S จะทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ความจริงแล้วเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่? บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

เกียร์ S ทำเครื่องยนต์กินน้ำมันเพิ่มขึ้นจริงหรือ?

การใช้เกียร์ S (Sport) โดยทั่วไปแล้วจะทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าการใช้เกียร์ D (Drive) ในการขับขี่ปกติ เนื่องจากเหตุผลดังนี้

  • รอบเครื่องยนต์สูงขึ้น - ในโหมด S เกียร์จะถูกเปลี่ยนที่รอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่าปกติ เพื่อให้เครื่องยนต์อยู่ในช่วงกำลัง (Power Band) ที่ดีที่สุด ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดีขึ้น แต่การที่เครื่องยนต์หมุนรอบสูงขึ้นย่อมหมายถึงการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นต่อหน่วยเวลา
  • การเปลี่ยนเกียร์ช้าลง - โหมด S จะหน่วงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น (Upshift) ทำให้เครื่องยนต์ลากรอบได้นานขึ้นก่อนที่จะเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งเป็นการใช้พลังงานและน้ำมันมากขึ้น
  • ตอบสนองคันเร่งไวขึ้น - โหมด S มักจะปรับการตอบสนองของคันเร่งให้ไวขึ้น ทำให้เพียงแค่แตะคันเร่งเบาๆ เครื่องยนต์ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมการขับขี่ที่ใช้คันเร่งหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว
  • รถมี Engine Brake มากขึ้น - ในบางรุ่น โหมด S อาจมีการใช้ Engine Brake ที่เข้มข้นขึ้นเมื่อถอนคันเร่ง ซึ่งแม้ว่าจะช่วยชะลอรถ แต่ก็อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์จากแรงเฉื่อยของรถเท่ากับการปล่อยให้รถไหลในเกียร์ D

เมื่อไหร่ควรใช้เกียร์ S

     เกียร์ S มีประโยชน์ในสถานการณ์ที่ต้องการสมรรถนะของเครื่องยนต์เป็นพิเศษ เช่น การเร่งแซง, การขึ้นทางชัน หรือการขับขี่ที่ต้องการความสนุกสนาน และเมื่อผ่านพ้้นสถานการณ์ดังกล่าวก็ควรกลับมาใช้เกียร์ D เพื่อการประหยัดน้ำมัน

 

     สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน หรือเมื่อต้องการประหยัดน้ำมัน การใช้เกียร์ D เป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้เกียร์ S เป็นครั้งคราวเมื่อต้องการสมรรถนะเพิ่มเติมก็ไม่ได้เป็นอันตรายต่อรถ แต่ผู้ขับขี่ควรตระหนักว่าการใช้งานในโหมดนี้จะส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าอย่างแน่นอน การควบคุมคันเร่งและสไตล์การขับขี่ก็มีผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเช่นกัน ไม่ว่าจะใช้เกียร์ใดก็ตามครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 29 Apr, 2025
อ่านต่อ

     ยางรถยนต์แต่ละเส้นมีอายุการใช้งานประมาณกี่ปี หรือกี่กิโลเมตร จึงจำเป็นจะต้องเปลี่ยนเส้นใหม่ แล้วถ้าหากฝืนใช้ยางเก่าที่เสื่อมสภาพจะเกิดอะไรขึ้น บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

ยางรถยนต์ 1 เส้น วิ่งได้กี่ปีหรือกี่กิโลเมตร?

     โดยทั่วไปแล้วยางรถยนต์แต่ละเส้น จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 - 5 ปี หรือประมาณ 50,000 - 80,000 กิโลเมตร นับตั้งแต่วันที่เริ่มใช้งานครั้งแรก

     อย่างไรก็ดี อายุการใช้งานที่แท้จริงของยางจะแปรผันขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน รวมถึงสภาพของระบบช่วงล่างรถด้วย หากรถใช้งานบนถนนที่มีสภาพขรุขระและอากาศร้อนเป็นประจำ จะทำให้เนื้อยางเสื่อมสภาพไวขึ้น และหากรถมีอาการศูนย์ล้อเบี้ยว โช้กอัปเสื่อมสภาพ ก็ส่งผลให้ยางมีการสึกหรอผิดปกติได้เช่นกัน

สัญญาณบ่งบอกว่าควรเปลี่ยนยาง

  • ดอกยางสึกหรอ - เมื่อดอกยางสึกหรอจนถึงสะพานยาง หรือมีดอกยางเหลือต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร ควรเปลี่ยนยางใหม่ เพื่อประสิทธิภาพการรีดน้ำ
  • ยางมีรอยแตก หรือบวม - หากพบรอยแตก รอยบวม หรือรอยฉีกขาดบนยาง ควรเปลี่ยนยางใหม่ทันที
  • ยางมีอายุเกิน 5 ปี - แม้ว่าดอกยางจะยังไม่สึกหรอ แต่หากยางมีอายุเกิน 5 ปี ควรเปลี่ยนยางใหม่ เพราะเนื้อยางจะเสื่อมสภาพตามอายุ
  • รถมีอาการสั่น หรือควบคุมยาก - หากรถมีอาการสั่น หรือควบคุมยากขณะขับขี่ อาจเป็นสัญญาณว่ามีปัญหายางบวม กรณีนี้ควรเปลี่ยนใหม่เช่นกัน

วิธีช่วยให้ยางมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

1. หมั่นตรวจสอบช่วงล่าง - หากช่วงล่างมีสภาพสมบูรณ์ มีผลช่วยให้การสึกหรอของดอกยางเป็นไปอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ยางมีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น

2. สลับยางทุก 10,000 กม. - การสลับยางจะช่วยให้ยางมีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้น หากไม่มีการสลับยางเลย ยางล้อคู่หน้าจะมีการสึกหรอเร็วกว่ายางล้อคู่หลัง

3. เลือกยางคุณภาพดี - ควรเลือกยางที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมของตลาด ซึ่งจะมาพร้อมคุณภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ปลอดภัยต่อการขับขี่มากกว่า

     การดูแลรักษายางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของยางได้ครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 28 Apr, 2025
อ่านต่อ

     หลายคนคุ้นเคยกับตำแหน่งเกียร์ N หรือเกียร์ว่าง ของรถเกียร์อัตโนมัติ กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่าเกียร์ N ไม่ได้มีไว้สำหรับใช้งานบ่อยครั้งในการขับขี่ทั่วไป แต่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์เฉพาะบางอย่างเท่านั้น เราจะพาไปดูกันว่า 3 สถานการณ์หลักที่คุณควรใช้ตำแหน่งเกียร์ N มีอะไรบ้าง

 

3 สถานการณ์ที่ควรใช้เกียร์ N (เกียร์ว่าง)

ขณะหยุดรถติดไฟแดง

เมื่อต้องหยุดรถติดไฟแดงเป็นระยะเวลาสั้นๆ การเปลี่ยนเกียร์จาก "D" (ขับเคลื่อน) มายัง "N" (เกียร์ว่าง) พร้อมกับดึงเบรกมือ จะช่วยลดภาระและความเมื่อยล้าจากการเหยียบเบรกค้างไว้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ตั้งใจหากเท้าพลาดจากแป้นเบรก

     อย่างไรก็ตาม สำหรับการหยุดรถติดไฟแดงเพียงไม่กี่วินาที การคงเกียร์ไว้ที่ "D" และเหยียบเบรกก็ยังคงเป็นทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัย

ขณะลากรถ

ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่รถยนต์ของคุณไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง และจำเป็นต้องลากรถ การเข้าเกียร์ "N" จะเป็นการตัดการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องยนต์กับล้อ ทำให้ล้อสามารถหมุนได้อย่างอิสระโดยไม่สร้างความเสียหายให้กับระบบส่งกำลัง

     อย่างไรก็ตาม การลากรถเกียร์อัตโนมัติต้องทำด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือรถยนต์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากรถยนต์บางรุ่นอาจมีข้อจำกัดในการลาก หรือต้องมีวิธีการลากที่แตกต่างกันออกไป

ประสบเหตุคันเร่งค้าง

ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่คันเร่งเกิดอาการค้าง ทำให้รถยนต์ยังคงเร่งเครื่องยนต์แม้จะถอนเท้าออกจากแป้นเร่งแล้ว การเข้าเกียร์ "N" เป็นหนึ่งในวิธีที่ปลอดภัยในการตัดกำลังขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ไปยังล้ออย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น หลังจากเข้าเกียร์ว่างแล้ว ให้ใช้เบรกเพื่อควบคุมและหยุดรถอย่างปลอดภัย จากนั้นจึงดับเครื่องยนต์และตรวจสอบหาสาเหตุของอาการคันเร่งค้างต่อไป

     ตำแหน่งเกียร์ N ในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติมีบทบาทสำคัญในสถานการณ์เฉพาะดังที่กล่าวไปข้างต้น การใช้งานเกียร์ว่างอย่างถูกต้องในสถานการณ์เหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณได้ครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 28 Apr, 2025
อ่านต่อ

     ความเชื่อเกี่ยวกับการอุ่นเครื่องยนต์ก่อนขับขี่ในตอนเช้าเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน แต่ปัจจุบันยังคงจำเป็นต้องวอร์มเครื่องยนต์ตอนเช้าอยู่หรือไม่ บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

ความเชื่อว่าต้องวอร์มเครื่องยนต์ก่อนออกตัวมาจากไหน?

ความเชื่อที่ว่าต้องอุ่นเครื่องยนต์ก่อนออกตัวนั้น มีรากฐานมาจาก ยุคสมัยของเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ (Carburetor) ซึ่งเป็นระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเก่า ก่อนที่จะมีการนำระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กันอย่างแพร่หลาย

     ในขณะที่เครื่องยนต์เย็น อุณหภูมิของท่อไอดีและกระบอกสูบจะต่ำ ทำให้น้ำมันเบนซินที่ถูกพ่นออกมาจากคาร์บูเรเตอร์เกิดการควบแน่นเป็นหยดเล็กๆ แทนที่จะเป็นไอละเอียด ทำให้ส่วนผสมของอากาศและน้ำมันไม่เหมาะสมสำหรับการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพ เครื่องยนต์จึงทำงานไม่ราบรื่น สั่น หรืออาจดับได้ การอุ่นเครื่องจะช่วยให้ชิ้นส่วนต่างๆ ร้อนขึ้น และช่วยให้น้ำมันกลายเป็นไอได้ดีขึ้น

 

ปัจจุบันยังจำเป็นต้องวอร์มเครื่องหรือไม่?

เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดในปัจจุบัน ใช้เซ็นเซอร์และคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างแม่นยำ ไม่ว่าอุณหภูมิเครื่องยนต์จะเป็นเท่าใด ทำให้สามารถจ่ายน้ำมันในปริมาณที่เหมาะสมและเป็นฝอยละเอียดได้ทันทีหลังสตาร์ท ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องนานๆ เหมือนเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์

     ดังนั้น ความเชื่อเรื่องการอุ่นเครื่องยนต์นานๆ ก่อนออกตัวนั้น มีรากฐานมาจากลักษณะการทำงานของเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ในอดีต ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์อย่างสิ้นเชิง

     ยิ่งไปกว่านั้น การปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เครื่องยนต์เย็น อาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด ทั้งในเรื่องของการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ และยังเป็นการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่จำเป็นอีกด้วย ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเดินเบาอยู่กับที่นั้น อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เครื่องยนต์และน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ได้รับอุณหภูมิที่เหมาะสมในการทำงานอย่างรวดเร็วเท่ากับการขับขี่จริง

     ดังนั้น สำหรับสภาพอากาศในประเทศไทย การสตาร์ทรถในตอนเช้าแล้วสามารถ ขับออกไปได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรออุ่นเครื่องเป็นเวลานาน สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ ในช่วง 2-3 นาทีแรกของการขับขี่ ควรหลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง หรือการใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงเกินไป เพื่อให้เครื่องยนต์และน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ค่อยๆ ปรับอุณหภูมิขึ้นสู่ระดับการทำงานที่เหมาะสมอย่างนุ่มนวลก็เพียงพอแล้วครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 28 Apr, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.