×
ผลการค้นหา : SQD
แสดง รายการ

     ช่วงนี้มักจะมีข่าวอุบัติเหตุรถพุ่งชนร้านสะดวกซื้อหรือตกอาคารจอดรถ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก "การเหยียบเบรก-คันเร่งผิด" ซึ่งมักเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีที่ตกใจ แต่รู้ไหมครับว่า... เราสามารถป้องกันปัญหานี้ได้ด้วยการจัดระเบียบร่างกายและการวางเท้าให้ถูกต้อง

 

วันนี้ เรามีเทคนิคสังเกตและการฝึกวางเท้าให้ถูกต้องก่อนขับเพื่อจะไม่ให้เกิดอุบัติเหตุนี้กันครับ มาดูกันเลย

 

วิธีป้องกันการเหยียบเบรก-คันเร่งผิดด้วยการวางเท้า

จริงๆ เทคนิคป้องกันการเหยียบเบรก-คันเร่งผิดนั้นไม่ยากโดยมีวิธีสังเกตดังนี้

1. จัด "จุดหมุน" ให้ถูกต้อง

เรื่องแรกที่สำคัญของการไม่เหยียบพลาด คือ "ส้นเท้าต้องไม่ลอย" และ "ไม่ยกขาเพื่อเปลี่ยนแป้น"

  • วิธีเช็ก: วางส้นเท้าขวาให้ตรงกับ "แป้นเบรก" (ไม่ใช่กึ่งกลางระหว่างสองแป้น)
  • การใช้งาน: ใช้ส้นเท้าเป็นจุดหมุน
    • เมื่อจะเบรก: ปลายเท้าจะเหยียบลงตรงๆ ได้ทันทีและมีแรงกดสูงสุด
    • เมื่อจะเร่ง: ให้บิดปลายเท้าเฉียงไปทางขวาเพื่อแตะคันเร่ง

ถ้าจะจำให้ง่ายที่สุดคือ เร้าควรจะให้ความสำคัญกับแป้นเบรกมากกกว่าคันเร่ง การวางส้นเท้าจ่อเบรกไว้เสมอ ทำให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน สัญชาตญาณการเหยียบลงไปตรงๆ จะโดนเบรกแน่นอน 100% ไม่ใช่คันเร่ง

2. ดูที่ "ความต่างระดับ" ของแป้น

ในรถยนต์มาตรฐานส่วนใหญ่ แป้นเบรกและคันเร่งจะมีความสูงไม่เท่ากัน ซึ่งจะสังเกตได้ว่าแป้นเบรกมักจะ "อยู่สูงกว่า (ลอยขึ้นมามากกว่า)" และ "แข็งกว่า" ส่วนแป้นคันเร่งจะอยู่ลึกกว่าและนิ่มกว่า

วิธีการฝีกง่ายๆ ให้ลองนั่งในรถตอนจอดสนิท (เข้าเกียร์ P และดึงเบรกมือ) ลองสลับเท้าไปมาเพื่อจำความรู้สึกของระดับความสูงที่ต่างกัน หากเท้าสัมผัสแป้นที่ลึกและนิ่ม ให้เอะใจทันทีว่านั่นคือคันเร่ง ไม่ใช่เบรก

3. เทคนิค "ถอนแล้วรอ"

อย่าแช่เท้าที่คันเร่งตลอดเวลาหากไม่ได้ต้องการความเร็วเพิ่ม โดยเมื่อเห็นไฟเบรกคันหน้า, ทางแยก, ทางม้าลาย หรือจุดอับสายตา ให้ "ถอนคันเร่ง" ทันที แล้วยกปลายเท้ากลับมาลอยรอเหนือแป้นเบรก (แต่ยังไม่ต้องกด)

 

เรียกว่าเป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้า (Pre-load) หากมีอะไรตัดหน้า คุณจะเหยียบเบรกได้ทันทีโดยไม่เผลอไปกระทืบคันเร่งเพราะตกใจ

4. ท่านั่งต้องเป๊ะ

หลายครั้งที่เหยียบผิด เพราะนั่งผิดท่า! หากนั่งไกลเกินไป ขาจะตึง ทำให้ส้นเท้าลอยจากพื้น เวลาจะเบรกต้อง "ยกทั้งขา" ซึ่งเสี่ยงมากที่เท้าจะแกว่งไปโดนคันเร่ง การแก้ไขเรื่องนี้ที่ง่ายสุดคือ ปรับเบาะให้เมื่อเหยียบเบรกจนสุด เข่ายังงอได้เล็กน้อย เพื่อให้ส้นเท้าปักหลักอยู่ที่พื้นได้ตลอดเวลา

5. เลือกรองเท้าที่เหมาะสม

สุดท้ายคือการเลือกรองเท้า ถ้าเกิดเป็น รองเท้าส้นสูง, รองเท้าแตะที่หลวมเกินไป หรือรองเท้าพื้นหนาเตอะ เพราะจะทำให้ "สัมผัส" (Pedal Feel) หายไป คุณกะน้ำหนักไม่ถูกและอาจเกี่ยวติดแป้นได้ ทุกครั้งที่ขับรถควรใช้รองเท้าหุ้มส้นที่มีพื้นบางและกระชับ เพื่อให้รับรู้ตำแหน่งแป้นได้แม่นยำที่สุด

 

ดังนั้นแล้วก่อนที่จะออกรถ เพื่อความปลอดภัย ไม่ใช่แค่ตามองถนน แต่ต้องเริ่มจาก "เท้าที่วางถูกตำแหน่ง" การฝึกวางส้นเท้าไว้ตรงแป้นเบรกเสมอฃ อาจจะเมื่อยในช่วงแรกสำหรับบางคน แต่เมื่อร่างกายจดจำได้แล้ว มันคือหลักประกันความปลอดภัยที่จะช่วยชีวิตคุณได้ในเสี้ยววินาทีเมื่อขับขี่

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 25 Nov, 2025
อ่านต่อ

     เมืองไทย! เป็นประเทศที่เรียกว่ามีอากาศที่ร้อนพอสมควรทำให้รถยนต์ทุกคันต้องมีการติดตั้ง "แอร์ในรถยนต์" ที่เรียกว่าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งอุปกรณ์ส่วนนี้เราต้องดูแลเหมือนกับแอร์บ้าน! คำถามคือ แอร์รถต้องล้างเมื่อไหร่ เพราะเวลาเอารถเข้าศูนย์มักจะถามให้เราสงสัย วันนี้ เราจะมาบอกกันว่าควรล้างแอร์รถ บ่อยแค่ไหน? และแอร์รถควรล้างเมื่อไหร่ดีที่สุด?

 

ควรล้างแอร์รถ บ่อยแค่ไหน?

ต้องบอกว่า ตามมาตรฐานทั่วไปและคำแนะนำจากช่างผู้เชี่ยวชาญ ควรล้างแอร์รถยนต์ "ทุกๆ 1 ปี หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร"

 

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ไม่ใช่กฎตายตัว เพราะปัจจัยเรื่อง "สภาพแวดล้อม" มีผลอย่างมาก หากคุณเข้าข่ายพฤติกรรมเหล่านี้ อาจจะต้องล้างแอร์ถี่ขึ้นกับปัจจัยภายนอกเช่น

  • ขับรถในพื้นที่ฝุ่นเยอะ: เขตก่อสร้าง, ถนนลูกรัง หรือพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นประจำ
  • สูบบุหรี่หรือทานอาหารในรถ: ไอระเหยจากอาหารและควันบุหรี่จะไปจับตัวเป็นเมือกเหนียวที่คอยล์เย็น ทำให้สิ่งสกปรกสะสมเร็วกว่าปกติ
  • ผู้ที่เป็นภูมิแพ้: หากคุณไวต่อฝุ่นและเชื้อรา การล้างแอร์ทุก 6 เดือนจะช่วยเรื่องสุขภาพได้มาก

4 สัญญาณเตือน! ว่ารถคุณ "ตู้แอร์ตัน" และต้องล้างด่วน

ไม่ต้องรอให้ครบปี หากรถคุณมีอาการเหล่านี้ แนะนำให้เช็กทันทีเช่น

  1. แอร์ไม่ฉ่ำ ลมออกเบา: เปิดพัดลมเบอร์แรงสุดแล้ว แต่ลมยังออกมาน้อย หรือมีแต่เสียงพัดลมแต่ลมไม่ออก (อาการตู้แอร์เป็นน้ำแข็ง หรือฝุ่นอุดตันครีบระบายความร้อน)
  2. มีกลิ่นอับชื้น: โดยเฉพาะตอนเริ่มเปิดแอร์ใหม่ๆ หรือมีกลิ่นเปรี้ยว
  3. ภูมิแพ้กำเริบ: นั่งรถทีไร จามหรือคัดจมูกทุกที
  4. เสียงดังผิดปกติ: ได้ยินเสียงกุกกัก หรือเสียงหวีดแหลมออกมาจากช่องแอร์

เลือกแบบไหนดี? "ถอดตู้" vs "ไม่ถอดตู้"

เมื่อตัดสินใจจะล้างแอร์รถ ร้านมักจะมี 2 ทางเลือกให้เสมอ ซึ่งมีข้อดี-ข้อเสียต่างกันดังนี้

1. การล้างแบบไม่ถอดตู้ (ใช้เครื่องส่องกล้อง)

  • ข้อดี: สะดวก รวดเร็ว (ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.), ค่าใช้จ่ายถูกกว่า, ไม่ต้องรื้อคอนโซล ลดความเสี่ยงเรื่องสลักหักหรือเสียงก๊อบแก๊บหลังประกอบคืน
  • ข้อเสีย: อาจทำความสะอาดได้ไม่ 100% หากตู้แอร์สกปรกมาก หรือมีเมือกเหนียวเกาะแน่น เครื่องฉีดอาจเข้าไม่ถึงซอกมุมลึกๆ
  • เหมาะสำหรับ: รถใหม่, รถที่ล้างแอร์สม่ำเสมอ (Maintenance) และตู้แอร์ยังไม่ตันมาก

2. การล้างแบบถอดตู้ (รื้อคอนโซล)

  • ข้อดี: สะอาด 100% เพราะสามารถนำคอยล์เย็นออกมาฉีดล้างข้างนอกได้ทุกซอกทุกมุม, สามารถตรวจสอบรอยรั่วของตู้แอร์ได้ทันที
  • ข้อเสีย: ใช้เวลานาน (บางรุ่นต้องทิ้งรถไว้), ค่าใช้จ่ายสูงกว่า, ต้องใช้น้ำยาแอร์ใหม่ และต้องอาศัยความชำนาญของช่างในการประกอบคอนโซลกลับเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
  • เหมาะสำหรับ: รถเก่า, รถที่แอร์ตันหนักมาก, รถที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง หรือรถที่ต้องการเช็กระบบรั่วซึมไปในตัว

วิธียืดอายุแอร์รถยนต์ ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

หากคุณอยากจะยื่ดอายุการใช้งานรนอกจากการล้างแอร์รถนั้นจะต้องทำสิ่งต่างๆ ดังนี้

  • เปลี่ยนกรองแอร์ตามระยะ: กรองแอร์คือด่านแรกที่กันฝุ่นไม่ให้เข้าตู้แอร์ ควรเปลี่ยนทุก 10,000 - 15,000 กม.
  • ปิด A/C ก่อนถึงที่หมาย: ก่อนดับเครื่องยนต์สัก 2-3 นาที ให้กดปิดปุ่ม A/C (ตัดคอมเพรสเซอร์) แต่เปิดพัดลมแรงสุด เพื่อไล่ความชื้นออกจากตู้แอร์ ช่วยลดการสะสมของเชื้อราและกลิ่นอับได้ดีเยี่ยม
  • เลี่ยงน้ำหอมระเหยแบบเจล: สารระเหยในน้ำหอมบางชนิด เมื่อเข้าไปในระบบแอร์ที่เย็นจัด จะเปลี่ยนสถานะเป็นเมือกเหนียวเกาะที่ตู้แอร์ ทำให้ตันไวขึ้น

     สรุปแล้ว การล้างแอร์ไม่ใช่แค่เรื่องความเย็น แต่เป็นเรื่องของสุขภาพทางเดินหายใจของผู้ขับขี่ ดังนั้นถ้าเริ่มรู้สึกว่า "แอร์มีกลิ่น" หรือ "ลมเบาลง" อย่าฝืนใช้ต่อ รีบนำรถเข้าเช็กก่อนที่ระบบจะเสียหายลามไปถึงคอมเพรสเซอร์ ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่มากจนทำให้คุณจ่ายไม่ไหวก็ได้เช่นเดียวกัน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 25 Nov, 2025
อ่านต่อ

ไขข้อข้องใจ ฝนตกทำไมต้องเปิด A/C ทั้งที่อากาศเย็น ปุ่มนี้ช่วยแก้ปัญหาฝ้าขึ้นกระจก

     ผู้ขับขี่หลายคนอาจเคยเจอปัญหานี้ เมื่อขับรถท่ามกลางสายฝน อากาศข้างนอกก็เย็นสบาย จึงตัดสินใจปิด ปุ่ม A/C (Air Conditioning) เพื่อประหยัดน้ำมัน หรือเพราะไม่ต้องการให้ห้องโดยสารหนาวจนเกินไป แต่เพียงไม่นาน "ฝ้า" ก็เริ่มก่อตัวขึ้นที่กระจกหน้า จนบดบังทัศนวิสัยและอาจนำไปสู่อันตรายได้

     ความจริงแล้ว ปุ่ม A/C ในรถยนต์ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ "ทำความเย็น" เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการ "ไล่ความชื้น" ออกจากอากาศในห้องโดยสาร ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้า นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการเปิด A/C ขณะฝนตกจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ฝ้าขึ้นกระจก เกิดจากอะไร

ปรากฏการณ์ฝ้าขึ้นกระจก เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความชื้นระหว่างภายในและภายนอกรถยนต์ เมื่อฝนตก อากาศภายนอกจะเย็นลง ทำให้ผิวกระจกรถเย็นตามไปด้วย

     ในขณะเดียวกัน อากาศภายในห้องโดยสารกลับมีความชื้นสูงกว่า ทั้งจากลมหายใจของผู้โดยสาร หรือความชื้นจากเสื้อผ้าและร่มที่เปียกฝน เมื่ออากาศชื้นภายในรถมาสัมผัสกับผิวกระจกที่เย็นจัด จึงเกิดการควบแน่นกลายเป็นละอองน้ำเล็กๆ เกาะที่ผิวกระจก หรือ "ฝ้า" ที่เราเห็นนั่นเอง

A/C คือฮีโร่ผู้ "ไล่ความชื้น"

หน้าที่สำคัญของ ปุ่ม A/C คือการสั่งให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงาน เมื่ออากาศถูกดูดเข้าไปในระบบปรับอากาศ จะต้องผ่านตัวคอยล์เย็น (Evaporator) ซึ่งมีความเย็นจัด ความชื้นในอากาศจะควบแน่นและถูกดึงออกจากอากาศ กลายเป็นหยดน้ำทิ้งไปใต้ท้องรถ

     ดังนั้น อากาศที่เป่าออกมาจากช่องแอร์จึงเป็น "อากาศที่แห้ง" ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการดูดซับความชื้นที่เกาะอยู่บนกระจกให้ระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว นี่คือกระบวนการ "ลดความชื้น" (Dehumidify) ที่เป็นหัวใจสำคัญของการไล่ฝ้า

วิธีไล่ฝ้าที่ถูกต้อง เมื่อฝนตก (และอากาศเย็น)

หากฝนตกแล้วฝ้าขึ้น แต่คุณไม่ต้องการให้ห้องโดยสารหนาวเย็นจนเกินไป สามารถใช้เทคนิค "อากาศอุ่นที่แห้ง" ได้ดังนี้:

  1. กดปุ่ม A/C ให้ทำงาน (ให้ไฟสถานะ A/C ติด) เพื่อเริ่มกระบวนการดึงความชื้นออกจากอากาศ
  2. ปรับอุณหภูมิไปทางสีแดง (ฮีตเตอร์) ให้อยู่ในระดับที่รู้สึกอุ่นสบาย ไม่ต้องร้อนจัด
  3. เปิดพัดลม และกดปุ่มไล่ฝ้า (สัญลักษณ์รูปกระจกหน้า) เพื่อเป่าลมแห้งอุ่นนี้ไปที่กระจกโดยตรง

ด้วยวิธีนี้ ระบบ A/C จะทำหน้าที่ดึงความชื้นออกไป ส่วนฮีตเตอร์จะทำหน้าที่เพิ่มอุณหภูมิ ทำให้อากาศที่เป่าออกมาทั้งแห้งและอุ่น ช่วยให้ฝ้าหายไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารไม่ต้องทนหนาว

สรุป

การเปิด ปุ่ม A/C ขณะฝนตกจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อความปลอดภัย แม้ว่าอากาศภายนอกจะเย็นอยู่แล้วก็ตาม เพราะเป้าหมายหลักในสถานการณ์นี้คือการ "ไล่ความชื้น" เพื่อรักษาทัศนวิสัยในการขับขี่ให้ชัดเจน การทำความเข้าใจหน้าที่ที่แท้จริงของระบบปรับอากาศในรถยนต์ จะช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยในทุกสภาพอากาศ

 

     อนึ่ง ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ (ประมาณ 2015 เป็นต้นมา) หลายรุ่นมีปุ่ม “MAX A/C” หรือปุ่มไล่ฝ้ากระจกหน้า เมื่อกดปุ่มนี้ ระบบจะเปิด A/C อัตโนมัติอยู่แล้ว แม้คุณจะไม่ได้กดปุ่ม A/C โดยตรง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 25 Nov, 2025
อ่านต่อ

ผู้หญิงขับรถและคนขับรถควรรู้ วิธีเช็กและเติมลมยางที่ถูกต้อง ขอบประตูมีคำตอบ

การขับรถอย่างปลอดภัยเริ่มต้นจากการดูแลรถที่ถูกต้อง และเรื่อง "การเติมลมยาง" ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ผู้หญิงและทุกคนที่ขับรถควรรู้ แม้ดูเป็นเรื่องง่ายแต่ส่งผลต่อความปลอดภัยโดยตรง การเติมลมยางที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ปัญหาหลายอย่าง ทั้งอุบัติเหตุ ยางระเบิด หรือการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น

 

เปิดคู่มือฉบับย่อที่ผู้หญิงขับรถควรรู้ โดยเน้นที่ทักษะการเช็กและเติมลมยางที่คุณสามารถทำได้เองอย่างง่ายดาย เพื่อความปลอดภัยสูงสุดตลอดการเดินทาง

 

1. ทริคสำคัญ: ค่าเติมลมยาง กี่ปอนด์ (PSI =Pound Per Square Inch) ดูที่ไหน?

หลายคนมีความเข้าใจผิดว่าควรเติมลมยางตามที่ช่างแนะนำ หรือตามค่าทั่วไป แต่ความจริงแล้ว รถยนต์แต่ละคันมี "ค่ามาตรฐาน" ที่เหมาะสมที่สุดจากโรงงานผู้ผลิต ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณมาแล้วว่าทำให้รถเกาะถนน ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันที่สุด

 

วิธีค้นหาค่าเติมลมยางที่ถูกต้องที่สุดนั้นง่ายนิดเดียว คือให้คุณเปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วมองหา "สติกเกอร์ค่าแรงดันลมยางที่ขอบประตู" สติกเกอร์จะอยู่บริเวณสันประตู (Door Jamb) หรือเสา B ของตัวรถ ซึ่งจะระบุค่าที่ผู้ผลิตแนะนำ โดยใช้หน่วยเป็น PSI หรือ Bar

 

บนสติกเกอร์จะมีการแยกค่าลมยางสำหรับยางหน้าและยางหลัง (มักเติมไม่เท่ากัน) รวมถึงแยกค่าสำหรับการบรรทุกปกติ (ผู้โดยสารน้อย) และการบรรทุกเต็มที่ (ผู้โดยสารเต็มคันหรือมีสัมภาระหนัก) หากคุณไม่สามารถหาสติกเกอร์ที่ประตูได้ ค่านี้จะระบุอยู่ใน คู่มือประจำรถ (Owner's Manual) เสมอ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุด

 

2. ค่าแรงดันลมยางโดยประมาณตามประเภทรถ

แม้ว่าคุณควรยึดค่าจากสติกเกอร์ข้างประตูเป็นหลัก แต่ข้อมูลโดยประมาณนี้จะช่วยให้คุณประเมินได้เบื้องต้นว่ารถของคุณควรเติมลมยางอยู่ในช่วงใด ซึ่งค่าแรงดันลมยางจะแตกต่างกันไปตามประเภทของรถ ดังนี้:

  • รถยนต์นั่งขนาดเล็ก/อีโคคาร์: ค่าโดยประมาณอยู่ที่ 28 - 34 PSI โดยเน้นความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
  • รถ SUV: รถที่มีน้ำหนักมากกว่า ควรเติมลมยางที่ประมาณ 30 - 36 PSI ซึ่งสูงกว่ารถเก๋งเล็กน้อย เพื่อรองรับน้ำหนักตัวรถ
  • รถกระบะ: โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 35 -40 PSI และล้อหลังควรเติมมากกว่าล้อหน้าเล็กน้อยเพื่อรองรับน้ำหนักบรรทุกในอนาคต หากบรรทุกของหนักมาก ควรเพิ่มลมยางอีก 2-3 PSI

3. สิ่งที่ผู้หญิงขับรถควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ "ลมยาง"

คุณควรตรวจเช็กลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือก่อนการเดินทางไกลทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าแรงดันลมยางอยู่ในเกณฑ์ที่ถูกต้องเสมอ ควรเติมลมยางในขณะที่ "ยางเย็น" (รถจอดนิ่งหรือวิ่งมาไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร) เพราะเมื่อยางร้อน แรงดันลมจะสูงขึ้น ทำให้ค่าที่วัดได้ไม่แม่นยำ

 

การ เติมลมยางอ่อนไป จะทำให้โครงสร้างยางเสียหาย กินน้ำมันเชื้อเพลิง และควบคุมรถได้ยาก

 

ส่วนการ เติมลมยางแข็งไป จะทำให้รถกระด้าง ขาดความยืดหยุ่นในการรับแรงกระแทก และเสี่ยงต่อยางระเบิดเมื่อเจอพื้นถนนขรุขระ ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่มาก่อนเสมอ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 25 Nov, 2025
อ่านต่อ

ปุ่ม ECO คืออะไร มีไว้ทำไม? หลายคนที่สงสัยว่ากดแล้วประหยัดน้ำมันนั้นจริงไหม?

     ใครที่ใช้รถในยุคใหม่ๆ คงจะเห็นปุ่มกดเยอะมากมายรวมถึงปุ่ม Eco Mode ในรถยนต์หรือรถบางคันจะเป็น econ mode ซึ่งคำถามที่หลายคนคือ ปุ่ม ECO คืออะไร กดแล้วดีไหม ช่วยอะไรบ้าง และเข้าว่ากดแล้วประหยัดน้ำมันจริงไหม วันนี้ เรามาเฉลยเรื่องนี้กััน

 

ปุ่ม Eco Mode คืออะไร

ปุ่ม ECO Mode (หรือ Economy Mode) ช่วยให้รถประหยัดน้ำมัน โดยระบบจะไปปรับการทำงานของลดให้เหมาะสมกับการใช้งานที่เน้นการประหยัดำพลังงาน

     เพราะระบบ ECO Mode ถูกออกแบบมาเพื่อปรับการทำงานของส่วนต่าง ๆ ในรถยนต์ให้เน้นการประหยัดพลังงาน โดยหลักการสำคัญมีดังนี้

  • ลดการตอบสนองของคันเร่ง เมื่อคุณเหยียบคันเร่ง การเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อจะช้าลงและน้อยลงกว่าโหมดปกติ แม้จะเหยียบคันเร่งในระดับเดียวกัน ซึ่งช่วยลดปริมาณเชื้อเพลิงที่ฉีดเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้รถออกตัวได้นุ่มนวลขึ้นแต่ก็ไม่พุ่งเท่ากับโหมดปกติ
  • ปรับการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ: สำหรับรถบางคันระบบจะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นไปเกียร์สูงในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลง เพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในย่านที่ประหยัดน้ำมันที่สุด
  • ควบคุมระบบปรับอากาศ : เมื่อกดแล้วระบบอาจลดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ หรือลดความแรงของพัดลมลง เพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ หรือระบบไฟฟ้าภายในรถเพื่อทำให้รถวิ่งได้ไกลสุด

กดปุ่ม Eco Mode ประหยัดขึ้นจริงหรือไม่?

หากเป็นการใช้งานโหมด Eco นั้นจะเหมาะกับการขับในเมืองมากกว่า เนื่องจาก โหมดนี้จะช่วยให้การออกตัวและการเร่งความเร็วเป็นไปอย่างช้าและนุ่มนวล ลดการใช้เชื้อเพลิงสิ้นเปลืองในการเร่งเครื่องบ่อยครั้ง

 

หรือการขับขี่แบบความเร็วคงที่ในการเดินทางไกลบนทางหลวง การใช้โหมด ECO ช่วยควบคุมให้รถรักษาระดับความเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิงได้เช่นกัน

 

แต่ถ้าผู้ขับขี่มีนิสัยการขับรถแบบประหยัดอยู่แล้ว (เช่น ไม่เหยียบคันเร่งกระชาก หรือไม่เบรกกะทันหัน) การใช้ ECO Mode จะช่วยเสริมให้ประหยัดยิ่งขึ้นไปอีก

 

ข้อสังเกตและต้องรู้

การเปิด ECO Mode อาจทำให้คุณรู้สึกว่ารถมีอัตราเร่งที่ช้าลง หรือ "อืด" กว่าโหมดปกติ เนื่องจากระบบกำลังจำกัดกำลังเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดนั่นเอง ดังนั้นถ้าอยากจะเร่งแซง แนะนำให้กดโหมดนี้ให้ไฟดับแล้วเร่งให้พ้นสถานการณ์ไปก่อน จากนั้นกดปุ่ม Eco เพื่อให้ประหยัดพลังงานเหมือนเดิม

 

ดังนั้นสรุปได้ชัดเจนว่า ปุ่ม Eco นั้นหากใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมและขับขี่อย่างต่อเนื่อง โหมด ECO สามารถช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและประหยัดค่าใช้จ่ายได้ครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 25 Nov, 2025
อ่านต่อ

     เวลาขับรถแล้วจู่ๆ มีสัญลักษณ์ไฟหน้าปัดโชว์ขึ้นมา หลายคนอาจสับสนเพราะมีมากมายหลายแบบ แต่ช่างผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จำหลักการง่ายๆ เพียงแค่แยกตามสี

 

โดยเฉพาะ "ไฟสีแดง" และ "ไฟสีเหลือง" ซึ่งมีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเข้าใจสัญลักษณ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ต้อง "จอดทันที" ก่อนที่รถจะพังกลางทาง

 

Part 1: "ไฟสีแดง" (Red Alert) = สัญญาณวิกฤต ต้องหยุดทันที

หากเห็นไฟเตือนสีแดงสว่างขึ้นมาบนหน้าปัด นั่นคือสัญญาณ "วิกฤต" ที่แปลว่ารถกำลังมีปัญหาร้ายแรง ช่างย้ำว่าห้ามฝืนขับต่อเด็ดขาด ควรหาที่ปลอดภัยจอดรถทันที สัญญาณสีแดงที่พบบ่อยและอันตรายที่สุด ได้แก่

1. รูปแบตเตอรี่ (ไดชาร์จไม่ทำงาน)

หลายคนเข้าใจผิดว่าสัญลักษณ์นี้หมายถึง "แบตเตอรี่หมด" แต่ช่างอธิบายว่า หากไฟรูปแบตเตอรี่ "ค้าง" ในขณะที่กำลังขับรถ นั่นคือสัญญาณว่า "ไดชาร์จไม่ทำงาน" หรือไดชาร์จพัง รถกำลังดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้จนหมดก้อน และอาจ "ดับกลางอากาศ" ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องจอดทันที

2. รูปกาน้ำมันเครื่อง (แรงดันน้ำมันเครื่องต่ำ)

นี่คือสัญญาณที่อันตรายที่สุด! ไม่ได้แปลว่าน้ำมันเครื่องแค่พร่อง แต่หมายถึง "แรงดันน้ำมันเครื่องต่ำ" หรือ "เครื่องยนต์ขาดน้ำมันหล่อลื่น" อย่างรุนแรง หากฝืนขับต่อแม้เพียงไม่กี่นาที ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์จะเสียดสีกันโดยตรงและ "เครื่องพัง" ทันที ค่าซ่อมอาจสูงถึงหลักหมื่นหรือหลักแสนบาท

3. รูปเทอร์โมมิเตอร์ (เครื่องร้อนจัด)

สัญลักษณ์นี้คือสัญญาณ "Overheat" หรือ "เครื่องร้อนจัด" ซึ่งเกิดจากระบบระบายความร้อนล้มเหลว เช่น พัดลมไม่ทำงาน หรือน้ำในหม้อน้ำรั่ว ต้องรีบจอดในที่ปลอดภัยทันที และรอจนกว่าเครื่องยนต์จะเย็นลง ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยังร้อนจัดเด็ดขาด เพราะอาจถูกไอน้ำร้อนลวกได้

4. รูปวงกลมมีเครื่องหมายตกใจ (ระบบเบรก)

เมื่อเห็นสัญลักษณ์นี้ สิ่งแรกที่ควรตรวจสอบคือ "ลืมปลดเบรกมือ" หรือไม่ แต่ถ้ามั่นใจว่าปลดเบรกมือแล้วไฟยังค้างอยู่ นั่นอาจหมายถึง "น้ำมันเบรกขาด" หรือระบบเบรกมีปัญหารั่วซึม ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งต่อการหยุดรถ ควรจอดและเรียกช่างทันที

 

Part 2: "ไฟสีเหลือง/ส้ม" (Yellow Alert) = เตือน... แต่ยังขับต่อได้

สำหรับไฟเตือน "สีเหลือง" หรือ "สีส้ม" สถานการณ์จะไม่วิกฤตเท่าสีแดง แปลว่าระบบบางอย่างของรถเริ่มมีปัญหา แต่ยังสามารถขับประคองต่อไปได้ เพื่อนำรถไปเข้าอู่หรือศูนย์บริการให้เร็วที่สุด

1. รูปเครื่องยนต์ (Check Engine)

เป็นสัญญาณยอดฮิตที่สร้างความกังวลให้หลายคน ไฟนี้จะสว่างขึ้นเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจพบว่า "การเผาไหม้ของเครื่องยนต์มีปัญหา" สาเหตุมีได้หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยอย่างฝาถังน้ำมันปิดไม่สนิท ไปจนถึงปัญหาที่ซับซ้อน เช่น หัวเทียนบอด หรือเซ็นเซอร์ออกซิเจนเสีย แม้ยังขับได้ แต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้นาน

2. รูป ABS (ระบบเบรก ABS)

ไฟนี้หมายความว่า "ระบบเบรก ABS มีปัญหา" ซึ่งเป็นระบบช่วยป้องกันล้อล็อกเวลาเบรกกะทันหัน ระบบเบรกแบบธรรมดายังคงใช้งานได้ แต่ประสิทธิภาพในการเบรกฉุกเฉินจะลดลง ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น และรีบนำรถไปตรวจสอบ

 

สรุป: สีแดงคือ "จอดทันที" สีเหลืองคือ "รีบไปอู่"

โดยสรุปแล้ว หลักการจำง่ายๆ ที่ช่างแนะนำคือ เมื่อเห็น ไฟหน้าปัดสีแดง สว่างขึ้น ต้องหาที่ปลอดภัย "จอดทันที" เพื่อป้องกันความเสียหายรุนแรงต่อเครื่องยนต์หรือความปลอดภัย

 

ส่วน ไฟหน้าปัดสีเหลือง เป็นการเตือนล่วงหน้าว่ามีบางอย่างผิดปกติ ยังพอขับประคองได้ แต่ก็ควรนำรถไปให้ช่างตรวจสอบโดยเร็วที่สุด

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 25 Nov, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.