×
ผลการค้นหา : Eco Car
แสดง รายการ

ปุ่ม ECO คืออะไร มีไว้ทำไม? หลายคนที่สงสัยว่ากดแล้วประหยัดน้ำมันนั้นจริงไหม?

     ใครที่ใช้รถในยุคใหม่ๆ คงจะเห็นปุ่มกดเยอะมากมายรวมถึงปุ่ม Eco Mode ในรถยนต์หรือรถบางคันจะเป็น econ mode ซึ่งคำถามที่หลายคนคือ ปุ่ม ECO คืออะไร กดแล้วดีไหม ช่วยอะไรบ้าง และเข้าว่ากดแล้วประหยัดน้ำมันจริงไหม วันนี้ เรามาเฉลยเรื่องนี้กััน

 

ปุ่ม Eco Mode คืออะไร

ปุ่ม ECO Mode (หรือ Economy Mode) ช่วยให้รถประหยัดน้ำมัน โดยระบบจะไปปรับการทำงานของลดให้เหมาะสมกับการใช้งานที่เน้นการประหยัดำพลังงาน

     เพราะระบบ ECO Mode ถูกออกแบบมาเพื่อปรับการทำงานของส่วนต่าง ๆ ในรถยนต์ให้เน้นการประหยัดพลังงาน โดยหลักการสำคัญมีดังนี้

  • ลดการตอบสนองของคันเร่ง เมื่อคุณเหยียบคันเร่ง การเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อจะช้าลงและน้อยลงกว่าโหมดปกติ แม้จะเหยียบคันเร่งในระดับเดียวกัน ซึ่งช่วยลดปริมาณเชื้อเพลิงที่ฉีดเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้รถออกตัวได้นุ่มนวลขึ้นแต่ก็ไม่พุ่งเท่ากับโหมดปกติ
  • ปรับการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ: สำหรับรถบางคันระบบจะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นไปเกียร์สูงในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลง เพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในย่านที่ประหยัดน้ำมันที่สุด
  • ควบคุมระบบปรับอากาศ : เมื่อกดแล้วระบบอาจลดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ หรือลดความแรงของพัดลมลง เพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ หรือระบบไฟฟ้าภายในรถเพื่อทำให้รถวิ่งได้ไกลสุด

กดปุ่ม Eco Mode ประหยัดขึ้นจริงหรือไม่?

หากเป็นการใช้งานโหมด Eco นั้นจะเหมาะกับการขับในเมืองมากกว่า เนื่องจาก โหมดนี้จะช่วยให้การออกตัวและการเร่งความเร็วเป็นไปอย่างช้าและนุ่มนวล ลดการใช้เชื้อเพลิงสิ้นเปลืองในการเร่งเครื่องบ่อยครั้ง

 

หรือการขับขี่แบบความเร็วคงที่ในการเดินทางไกลบนทางหลวง การใช้โหมด ECO ช่วยควบคุมให้รถรักษาระดับความเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิงได้เช่นกัน

 

แต่ถ้าผู้ขับขี่มีนิสัยการขับรถแบบประหยัดอยู่แล้ว (เช่น ไม่เหยียบคันเร่งกระชาก หรือไม่เบรกกะทันหัน) การใช้ ECO Mode จะช่วยเสริมให้ประหยัดยิ่งขึ้นไปอีก

 

ข้อสังเกตและต้องรู้

การเปิด ECO Mode อาจทำให้คุณรู้สึกว่ารถมีอัตราเร่งที่ช้าลง หรือ "อืด" กว่าโหมดปกติ เนื่องจากระบบกำลังจำกัดกำลังเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดนั่นเอง ดังนั้นถ้าอยากจะเร่งแซง แนะนำให้กดโหมดนี้ให้ไฟดับแล้วเร่งให้พ้นสถานการณ์ไปก่อน จากนั้นกดปุ่ม Eco เพื่อให้ประหยัดพลังงานเหมือนเดิม

 

ดังนั้นสรุปได้ชัดเจนว่า ปุ่ม Eco นั้นหากใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมและขับขี่อย่างต่อเนื่อง โหมด ECO สามารถช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและประหยัดค่าใช้จ่ายได้ครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 25 Nov, 2025
อ่านต่อ

     Toyota Hilux Travo 2026 (โตโยต้า ไฮลักซ์ ทราโว 2026) เปิดตัวและเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่กับรถกระบะขนาด 1 ตัน ของ Toyota แม้จะพัฒนาแบบต่อยอดบนโครงสร้างตัวถังเดิม แต่จัดระเบียบไลน์อัพพร้อมชื่อเรียกในแต่ละเกรดใหม่ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม Standard Cab, กลุ่มยกสูง Prerunner & 4TREX และกลุ่มที่เน้นไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง Overland ซึ่งมาแทน Revo Rocco เดิม ทุกกลุ่ม-ทุกเกรดมีเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร เทอร์โบ ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จากเดิมใช้ 4X4 เปลี่ยนเป็นชื่อ 4TREX นอกจากนี้ ยังเพิ่มทางเลือกรถกระบะไฟฟ้าล้วน BEV ด้วย Hilux Travo-e เจาะกลุ่มองค์กร แต่ยังขาดตระกูล GR ที่เรายังไม่ได้เห็นในการเปิดตัวครั้งนี้

 

Toyota Hilux Travo 2026 ดีไซน์ภายนอก

     Toyota Hilux Travo 2026 ได้รับการเปลี่ยนดีไซน์หน้า-หลังใหม่ เพิ่มสไตลิ่งแข็งแกร่งและโมเดิร์นมากขึ้นด้วยการเพิ่มเหลี่ยมสันเข้าไปในงานออกแบบ โดยชื่อใหม่ Travo มาจากการผสมคำระหว่าง Travel กับ Voyage หมายถึงการเดินทาง มีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ

  • Standard Cab 2 ประตู ตอนเดียวยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ (4TREX)
  • Smart Cab 2 ประตู ตอนครึ่งแค็บเปิดได้ มีทั้งยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Prerunner และยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ 4TREX
  • Double Cab 4 ประตู สองตอน มีทั้งยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Prerunner และยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ 4TREX เสริมด้วยรุ่น Overland เพิ่มการตกแต่งสำหรับไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง Overland

     โดย Toyota Hilux Travo Overland นั้นมาแทนที่ Hilux Revo Rocco มีเฉพาะตัวถัง Double Cab 4 ประตู แต่แบ่งเป็น Prerunner ยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4TREX ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มการตกแต่งภายนอกมากกว่า Prerunner และ 4TREX มาตรฐาน เช่น สปอร์ตบาร์กระบะท้าย ล้ออัลลอยลายต่างกัน

Toyota Hilux Travo 2026 ดีไซน์ภายใน

     สำหรับภายใน Toyota Hilux Travo 2026 ได้รับการออกแบบใหม่ โดยเฉพาะแผงคอนโซลหน้าที่ปรับแนวคิดลบความโค้งมนมาเล่นกับรูปทรงเรขาคณิต ใช้งานง่าย จริงจัง ตรงไปตรงมา ทุกรุ่นใช้ห้องโดยสารโทนสีดำ เบาะหุ้มผ้า Caretex (ยกเว้น Smart Cab เกียร์ธรรมดาเป็น PVC) และตั้งแต่เกรด Premium ขึ้นไป ตกแต่งคอนโซลบุด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่ม พวงมาลัยหุ้มหนัง มีเบรกมือไฟฟ้า ที่ชาร์จสมาร์ตโฟนไร้สาย ระบบเสียงหน้าจอสัมผัส 12.3 นิ้ว ส่วนเกรด Overland ได้เบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ Softex แทนเบาะผ้า ฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มาตรวัดและจออินโฟเทนเมนต์ 12.3 นิ้ว แอร์อัตโนมัติแยกปรับ 2 โซน ช่องเก็บความเย็น Coolbox ขณะที่ Toyota Hilux Travo-e ก็จะได้อุปกรณ์มากพอ ๆ กับ Overland

Toyota Hilux Travo 2026 เครื่องยนต์และสมรรถนะ

     รถกระบะ Toyota Hilux ที่พ่วงด้วยชื่อ Travo ทั้งหมดจะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ รหัส 1GD-FTV เป็นพื้นฐานทั้งหมด แต่รุ่นเกียร์ธรรมดา (MT) และเกียร์อัตโนมัติ (AT) จะมีสมรรถนะต่างกัน

เกียร์ธรรมดา

     กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,400-3,400 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 6 สปีด

เกียร์อัตโนมัติ

     กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด

          ในส่วนของ Toyota Hilux Travo-e ที่ใช้เทคโนโลยีไฟฟ้าล้วน (BEV) ติดตั้งมอเตอร์ 1 ตัวบนเพลาหน้า กำลัง 112 แรงม้า แรงบิด 205.5 นิวตันเมตร และ 1 ตัวบนเพลาหลังกำลัง 176 แรงม้า แรงบิด 268.6 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 59.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ติดตั้งตรงกลางระหว่างคานแชสซีส์ยึดด้วยซับเฟรม ระยะทางวิ่งสูงสุด 315 กิโลเมตร (NEDC) รองรับ Fast Charge กำลังสูงสุด 125 กิโลวัตต์

Toyota Hilux Travo 2026 เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย

     ทางด้านระบบความปลอดภัย Toyota Hilux Travo รุ่น Overland กับ Travo-e จะมาพร้อมระบบช่วยขับขี่ เช่น ระบบรักษาความเร็ว Dynamic Radar Cruise Control ทำงานได้ทุกย่านความเร็ว กล้องมองภาพรอบคัน เตือนการจราจรขณะถอย เตือนรถออกนอกเลน (พร้อมดึงกลับในรุ่น Overland Plus) แต่ Travo-e ไม่มีระบบนี้และจะได้ระบบควบคุมรถให้วิ่งกลางเลน

     ส่วนระบบความปลอดภัยพื้นฐานตัวถัง Standard Cab และ Smart Cab ติดตั้งถุงลมนิรภัย 3 จุด (รวมถึงตัวถัง Double Cab ในรุ่น Prerunner กับ 4TREX ขณะที่ Overland Plus กับ Travo-e ตัวถัง Double Cab จะมีทั้งหมด 7 จุด ทุกรุ่นมีระบบเตือนมุมอับสายตา กล้องมองหลัง ระบบควบคุมการทรงตัว ควบคุมการส่ายเมื่อพ่วงท้าย เป็นต้น

 

Toyota Hilux Travo 2026 มีกี่สี

     Toyota Hilux Travo แต่ละไลน์อัพจะมีสีตัวถังให้เลือกต่างกัน ดังนี้

Toyota Hilux Travo Standard Cab

  • สีเทา Ash
  • สีเงิน Silver Metallic
  • สีขาว Super White II

Toyota Hilux Travo Prerunner & 4TREX

  • สีน้ำตาล Sulfur Metallic
  • สีดำ Attitude Black Mica
  • สีเทา Ash
  • สีเงิน Silver Metallic
  • สีขาว Super White II

Toyota Hilux Travo Overland

  • สีน้ำตาล Sulfur Metallic
  • สีดำ Attitude Black Mica
  • สีเทา Ash
  • สีขาว Platinum White Pearl Mica

Toyota Hilux Travo 2026 ราคาจำหน่าย

Toyota Hilux Travo Standard Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX ราคา 767,000 บาท
  • รุ่น 2.8 4TREX เกียร์ออโต้  ราคา 819,000 บาท

Toyota Hilux Travo Prerunner

     Toyota Hilux Travo Prerunner แบ่งเป็น 2 ตัวถัง คือ Smart Cab และ Double Cab

Smart Cab

  • รุ่น 2.8 Smart ราคา 789,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Smart เกียร์ออโต้ ราคา 839,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium ราคา 859,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium เกียร์ออโต้ ราคา 909,000 บาท

Double Cab

  • รุ่น 2.8 Smart ราคา 895,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Smart เกียร์ออโต้ ราคา 945,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium ราคา 949,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium เกียร์ออโต้ ราคา 999,000 บาท

Toyota Hilux Travo 4TREX

          Toyota Hilux Travo 4TREX แบ่งเป็น 2 ตัวถัง คือ Smart Cab และ Double Cab

Smart Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX Premium ราคา 984,000 บาท
  • รุ่น 2.8 4TREX Premium เกียร์ออโต้ ราคา 1,029,000 บาท

Double Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX Premium ราคา 1,090,000 บาท

Toyota Hilux Travo Overland

  • รุ่น 2.8 Overland ราคา 1,102,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland เกียร์ออโต้ ราคา 1,102,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland 4TREX เกียร์ออโต้ ราคา 1,292,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland Plus 4TREX เกียร์ออโต้ ราคา 1,366,000 บาท

Toyota Hilux Travo-e

  • รุ่น Double Cab 4TREX ราคา 1,491,000 บาท

สรุปความน่าสนใจของ Toyota Hilux Travo 2026

          สำหรับใครที่เชื่อมั่นรถกระบะตระกูล Hilux ของ Toyota อยู่แล้ว ในยุคของ Travo มีการปล่อยออปชั่นหรือกั๊กน้อยลง (ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์และการแข่งขันก็ตามที) การจัดระเบียบรุ่นย่อยใหม่ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น ในภาพรวมราคาปรับขึ้นเล็กน้อยแลกกับอุปกรณ์มาตรฐานที่มากกว่าเดิม

          ขณะเดียวกันทุกรุ่นได้เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร 204 แรงม้า เท่ากันหมด (หากไม่นับ Travo-e) แต่ประหยัดกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร โดยเทียบระหว่าง Toyota Hilux Travo 2.8 Prerunner ตัวถัง Double Cab เกียร์ออโต้ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 14.5 กิโลเมตร/ลิตร (EcoSticker) กับ Toyota Hilux Revo 2.4 Prerunner เกียร์ออโต้ ที่ทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ 13.7 กิโลเมตร/ลิตร (EcoSticker)

          อย่างไรก็ตาม Toyota Hilux Travo ใหม่ จะยังไม่มีรุ่นความสูงมาตรฐานอย่าง Z Edition ในตอนนี้ รวมถึงตระกูล GR ซึ่งคาดว่าตามมาในอนาคต ส่วนตลาดรถกระบะเชิงพาณิชย์ Toyota ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ยังมอบให้ Hilux Revo รับหน้าที่ควบคู่กับ Hilux Champ ส่วนเรื่องดีไซน์ถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล รอดูผลจากยอดขายว่าจะทิ้งห่าง Isuzu D-Max ได้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

 

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 15 Nov, 2025
อ่านต่อ

     สำหรับคนที่รักรถและชอบรถให้ดูสะอาด การล้างรถและจัดการเกี่ยวกับภายในอาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนทำประจำ แต่การล้างรถอย่างเดียวอาจจะไม่พอ จนทำให้มีร้านประเภท "Car Detailing" ที่ได้ยินบ่อยๆ นั้นแตกต่างกันอย่างไร? และเมื่อไหร่ที่รถของคุณต้องการการดูแลที่ลึกซึ้งกว่าการล้างธรรมดา? และมันดีอย่างไร เราพาคุณไปหาคำตอบ

 

ล้างรถแบบ Car Detailing คืออะไร

Car Detailing หรือที่บางคนเรียกว่า "การดีเทลลิ่งรถ" คือการทำความสะอาด ฟื้นฟู และปกป้องรถยนต์อย่างละเอียดในทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่ภายนอกจรดภายใน รวมถึงห้องเครื่องยนต์ (แล้วแต่แพ็กเกจ) โดยใช้อุปกรณ์ น้ำยา และเทคนิคเฉพาะทางระดับมืออาชีพ เพื่อให้รถกลับมาดูใหม่ สะอาดหมดจด และได้รับการปกป้องสูงสุด

 

ขั้นตอน Car Detailing โดยทั่วไปจะครอบคลุม

  • ทำความสะอาดภายนอกอย่างละเอียด: รวมถึงการล้างด้วยเทคนิคที่ลดการเกิดรอย (เช่น Two-Bucket Method), การขจัดคราบฝังแน่น (ยางมะตอย, มูลนก, คราบน้ำ), การใช้ดินน้ำมัน (Clay Bar) เพื่อดึงสิ่งสกปรกออกจากชั้นผิวสี, การขัดสีเพื่อลบรอยขนแมวและเพิ่มความเงา, การลงแว็กซ์/ซีลแลนท์ หรือเคลือบเซรามิก/แก้ว เพื่อปกป้องผิวสี
  • ทำความสะอาดภายในอย่างละเอียด: ดูดฝุ่น พรม เบาะ อย่างหมดจด, ทำความสะอาดและบำรุงรักษาคอนโซล แผงประตู ช่องแอร์ และเบาะ (ไม่ว่าจะเป็นผ้าหรือหนัง) รวมถึงการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • ทำความสะอาดล้อและซุ้มล้อ: ขจัดคราบเบรก สิ่งสกปรกที่ฝังแน่น

 

ข้อดีของ Car Detailing

  • สะอาดหมดจดทุกซอกทุกมุม: รถจะดูใหม่เอี่ยมทั้งภายนอกและภายใน ไม่มีคราบสกปรกหรือฝุ่นตกค้าง
  • ฟื้นฟูสภาพรถ: ช่วยให้รถที่ใช้งานมานาน หรือมีปัญหาสีหมอง รอยขนแมว กลับมาเงางามเหมือนวันแรกที่ออกจากโชว์รูม
  • ปกป้องผิวรถในระยะยาว: การเคลือบต่างๆ ช่วยสร้างชั้นป้องกันให้กับสีรถจากแสงแดด รังสี UV มลภาวะ และทำให้การล้างทำความสะอาดในครั้งถัดไปง่ายขึ้น
  • เพิ่มมูลค่ารถ: หากคุณมีแผนจะขายรถในอนาคต การทำ Detailing จะช่วยเพิ่มมูลค่าและทำให้รถดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
  • แก้ปัญหาเฉพาะจุด: สามารถจัดการกับปัญหาสีรถ เช่น รอยขนแมว คราบน้ำฝังแน่น ที่การล้างปกติไม่สามารถทำได้

ข้อสังเกตของ Car Detailing

เมื่อเรารู้ข้อดีกันไปแล้ว แต่ข้อสังเกตก็คือแน่นอนว่าการล้างแบบนี้จะใช้เวลาเพราะแต่ละ ขั้นตอนละเอียดทำให้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หรืออาจถึงหนึ่งวันเต็ม ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการล้างรถปกติมาก เนื่องจากความละเอียดของขั้นตอน, อุปกรณ์, และน้ำยาที่ใช้ และการทำ Detailing ที่ดีต้องอาศัยช่างที่มีความรู้ ประสบการณ์ และใช้อุปกรณ์/น้ำยาที่มีคุณภาพ หากเลือกร้านไม่ดี อาจเกิดความเสียหายต่อรถได้

 

ควรต้องล้างบ่อยไหม

สำหรับการทำ Car Deailing ใช้คำว่า สามาระทำบ่อยก็ได้ถ้ามีเงิน และเวลา แค่ล้างรถหลังจากไปลุยฝนมาก็เพียงพอ แต่ถ้านานๆ ทำแบบชุดใหญ่หรือรถของคุณเป็นสีพิเศษและต้องการความเงาการทำ Car Detailing เป็นอีกทางเลือกที่ดีเช่นเดียวกัน

 

     ดังนั้นการทำ Car Detailing ถือเป็นการลงทุนเพื่อบำรุงรักษาสภาพรถยนต์ในระยะยาว ซึ่งจะช่วยรักษามูลค่าของรถ และทำให้คุณขับขี่รถคันโปรดได้อย่างภาคภูมิใจในความสะอาดและเงางามสูงสุดครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 23 Jul, 2025
อ่านต่อ

     แนะนำรถมือสองรุ่นใหญ่ 7 ที่นั่ง ในงบประมาณไม่เกิน 3 แสนบาท เหมาะสำหรับครอบครัวขยาย หรือดัดแปลงเพื่อนำไปใช้งานแบบแคมปิ้งก็ดี จะมีรุ่นไหนให้เลือกบ้างไปดูกันเลย

 

แนะนำรถมือสอง 7 ที่นั่ง ราคาไม่เกิน 300,000 บาท

Toyota Wish รุ่นปี 2004 - 2009

ราคามือสองโดยประมาณ 210,000 - 310,000 บาท

     อันที่จริงต้องบอกว่า Toyota Wish เป็นรถแบบ 6 ที่นั่งเสียมากกว่า เพราะทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมเบาะนั่งแถวที่ 2 แบบกัปตันซีทแยกออกจากกัน สามารถปรับได้อย่างอิสระ มีจุดเด่นอยู่ที่ช่วงล่างแน่นหนึบเน้นความสปอร์ต เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบขับรถเร็ว ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

 

Toyota Innova (โฉมแรก) รุ่นปี 2006 - 2011

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 280,000 บาท

     Toyota Innova โฉมแรกใช้พื้นฐานเดียวกับ Hilux Vigo และ Vigo Champ จึงมีจุดเด่นอยู่ที่ความทนทาน อะไหล่หาง่าย ค่าบำรุงรักษาไม่แพง โดยมากแล้วจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ซึ่งหากใครกังวลเรื่องอัตราสิ้นเปลืองก็สามารถนำไปติดตั้งแก๊สได้ แต่หากได้เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร ก็จะโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะและมีอัตราสิ้นเปลืองต่ำ แลกมาด้วยค่าตัวที่สูงกว่ารุ่นเบนซินพอสมควร

 

Isuzu MU-7 (โฉมไมเนอร์เชนจ์) รุ่นปี 2017 - 2012

ราคามือสองโดยประมาณ 250,000 - 420,000 บาท

     Isuzu MU-7 โฉมสุดท้ายก่อนเปลี่ยนเป็น MU-X เป็นอีกหนึ่งรุ่นยอดนิยม โดยเฉพาะราคามือสองที่เข้าถึงได้ง่าย แม้ว่าหน้าตาอาจจะไม่โดนใจนัก แต่ก็แลกมาด้วยความทนทานสไตล์อีซูซุ ซ่อมบำรุงรักษาไม่ยาก พร้อมด้วยห้องโดยสารกว้างขวางเหมาะสำหรับการใช้งานในครอบครัว

 

Honda Odyssey (RA6) รุ่นปี 2001 - 2005

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 280,000 บาท

     Honda Odyssey เจเนอเรชันที่ 2 รหัสตัวถัง RA6 ยังคงมีรูปลักษณ์ที่สวยงามน่าใช้ ซ่อมบำรุงง่าย ระบบเครื่องยนต์ไม่ซับซ้อน เพราะเป็นเครื่องบล็อกเดียวกับ Accord แต่น่าเสียดายที่เบาะนั่งแถวที่ 2 ไม่ใช่แบบกัปตันซีทแยกเหมือนกับเจเนอเรชันแรก แต่ถึงกระนั้นก็ถือว่าเป็นรถเอ็มพีวีรุ่นหนึ่งที่น่าใช้งานแลกกับค่าตัวเริ่มต้นไม่ถึง 2 แสนบาท

 

Mitsubishi Space Wagon (รุ่นปี 2005 - 2011)

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 370,000 บาท

     อดีตรถเอ็มพีวีระดับแฟลกชิปของค่ายมิตซูบิชิ ปัจจุบันมีค่าตัวในระดับที่เข้าถึงได้ง่าย ส่วนใหญ่จะป้วนเปี้ยนในระดับ 2 - 3 แสนบาทขึ้นอยู่กับรุ่นปี ห้องโดยสารกว้างขวางรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ แต่เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ที่ต้องแบกรับน้ำหนักบอดี้อันใหญ่โตก็ถือว่าตอบสนองได้แต่พอใช้ และขึ้นชื่อว่ากินน้ำมันโหด แต่หากหันไปคบแอลพีจีก็สบายใจได้ในระดับหนึ่ง

 

Ford Everest (โฉมไมเนอร์เชนจ์) รุ่นปี 2007 - 2011

ราคามือสองโดยประมาณ 270,000 - 350,000 บาท

     งบไม่เกินสามแสนก็สามารถเป็นเจ้าของ Ford Everest เจเนอเรชันแรกได้ แนะนำให้เล่นรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ได้เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Duratorq แล้ว เนื่องจากพละกำลังดีกว่า อัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่า และรูปโฉมที่ดูทันสมัยมากกว่า

 

Kia Grand Carnival รุ่นปี 2006 - 2012

ราคามือสองโดยประมาณ 260,000 - 420,000 บาท

     Kia Grand Carnaval เป็นรถ 11 ที่นั่งแท้ๆ มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เพดานโปร่ง พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.9 ลิตรที่มีเรี่ยวแรงใช้ได้ ขับทางไกลสบาย แต่ต้องใส่ใจในด้านบำรุงรักษากันสักนิด โดยเฉพาะการหาอู่เฉพาะทางเพื่อซ่อมแซมปัญหาต่างๆ ที่จะทยอยเกิดตามอายุการใช้งาน

 

     ทั้งนี้ การเลือกซื้อรถมือสองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูสภาพรถให้รอบคอบ ต้องไม่ผ่านการชนหนัก หรือพลิกคว่ำ สามารถตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุงที่ผ่านมาได้ ทางที่ดีหากดูรถมือสองไม่เป็นแล้วล่ะก็ ควรพาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญไปช่วยเลือกด้วย เพื่อให้ได้รถที่มีสภาพดีเหมาะกับการใช้งานมากที่สุดครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 06 Jun, 2025
อ่านต่อ

     ความเชื่อเกี่ยวกับการอุ่นเครื่องยนต์ก่อนขับขี่ในตอนเช้าเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน แต่ปัจจุบันยังคงจำเป็นต้องวอร์มเครื่องยนต์ตอนเช้าอยู่หรือไม่ บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

ความเชื่อว่าต้องวอร์มเครื่องยนต์ก่อนออกตัวมาจากไหน?

ความเชื่อที่ว่าต้องอุ่นเครื่องยนต์ก่อนออกตัวนั้น มีรากฐานมาจาก ยุคสมัยของเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ (Carburetor) ซึ่งเป็นระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเก่า ก่อนที่จะมีการนำระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กันอย่างแพร่หลาย

     ในขณะที่เครื่องยนต์เย็น อุณหภูมิของท่อไอดีและกระบอกสูบจะต่ำ ทำให้น้ำมันเบนซินที่ถูกพ่นออกมาจากคาร์บูเรเตอร์เกิดการควบแน่นเป็นหยดเล็กๆ แทนที่จะเป็นไอละเอียด ทำให้ส่วนผสมของอากาศและน้ำมันไม่เหมาะสมสำหรับการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพ เครื่องยนต์จึงทำงานไม่ราบรื่น สั่น หรืออาจดับได้ การอุ่นเครื่องจะช่วยให้ชิ้นส่วนต่างๆ ร้อนขึ้น และช่วยให้น้ำมันกลายเป็นไอได้ดีขึ้น

 

ปัจจุบันยังจำเป็นต้องวอร์มเครื่องหรือไม่?

เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดในปัจจุบัน ใช้เซ็นเซอร์และคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างแม่นยำ ไม่ว่าอุณหภูมิเครื่องยนต์จะเป็นเท่าใด ทำให้สามารถจ่ายน้ำมันในปริมาณที่เหมาะสมและเป็นฝอยละเอียดได้ทันทีหลังสตาร์ท ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องนานๆ เหมือนเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์

     ดังนั้น ความเชื่อเรื่องการอุ่นเครื่องยนต์นานๆ ก่อนออกตัวนั้น มีรากฐานมาจากลักษณะการทำงานของเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ในอดีต ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์อย่างสิ้นเชิง

     ยิ่งไปกว่านั้น การปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เครื่องยนต์เย็น อาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด ทั้งในเรื่องของการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ และยังเป็นการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่จำเป็นอีกด้วย ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเดินเบาอยู่กับที่นั้น อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เครื่องยนต์และน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ได้รับอุณหภูมิที่เหมาะสมในการทำงานอย่างรวดเร็วเท่ากับการขับขี่จริง

     ดังนั้น สำหรับสภาพอากาศในประเทศไทย การสตาร์ทรถในตอนเช้าแล้วสามารถ ขับออกไปได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรออุ่นเครื่องเป็นเวลานาน สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ ในช่วง 2-3 นาทีแรกของการขับขี่ ควรหลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง หรือการใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงเกินไป เพื่อให้เครื่องยนต์และน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ค่อยๆ ปรับอุณหภูมิขึ้นสู่ระดับการทำงานที่เหมาะสมอย่างนุ่มนวลก็เพียงพอแล้วครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 28 Apr, 2025
อ่านต่อ

     รีวิวลองขับ Mazda CX-5 2025 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ยังคงเป็นจ่าฝูงด้านสมรรถนะ เพิ่มเติมความสดใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป กับราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ติดตามกับ เราได้เลย

 

Mazda CX-5 2025 ใหม่ มีการปรับลดรุ่นย่อยจาก 4 รุ่น เหลือ 3 รุ่น พร้อมราคาจำหน่ายทางการ ดังนี้

  • รุ่น 2.0 S ราคา 1,219,000 บาท
  • รุ่น 2.0 SP ราคา 1,299,000 บาท
  • รุ่น XDL ราคาประมาณ 1,669,000 บาท

จะเห็นว่ามาสด้าได้มีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 TURBO ออก แล้วเหลือไว้เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และดีเซล 2.2 ลิตรเท่านั้น

 

ภายนอก

รูปลักษณ์ภายนอกของ Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการปรับรายละเอียดด้านหน้าและด้านท้าย ส่วนดีไซน์ตัวถังยังคงเดิมทั้งหมด ติดตั้งไฟหน้าแบบ LED Signature ที่ออกแบบไฟส่องสว่างเวลากลางวันเป็นรูปตัว L ซ้อนกัน มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุก

 

กระจังหน้ามีการปรับรายละเอียดกรอบโครเมียม พร้อมกันชนหน้าที่เน้นความมินิมอลคล้ายกับ Mazda3 และ CX-30 รุ่นปัจจุบัน โดยที่รุ่น XDL จะมีการตกแต่งส่วนล่างของกันชนและซุ้มล้อด้วยสีเดียวกับตัวรถ ทำให้ภาพรวมดูมีความพรีเมียมแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร

 

ส่วนด้านท้ายมีการปรับดีไซน์ไฟท้ายให้ดูกลมกลืนกับไฟหน้า พร้อมกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ทุกรุ่นย่อยได้ประตูท้ายแบบไฟฟ้าที่เพิ่มเติมด้วยฟังก์ชัน Hand Free Power Lift Gate สามารถสอดเท้าบริเวณใต้กันชนเพื่อเปิดและปิดประตูท้ายได้

 

ส่วนล้ออัลลอยของรุ่น 2.0 S เป็นขนาด 17 นิ้ว รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ล้อขนาด 19 นิ้วลายใหม่ทั้งหมด

 

สีภายนอกมีให้เลือก 7 สี โดยมี 2 สีใหม่ ได้แก่ สีเทา Polymetal Gray และสีบรอนซ์ Platinum Quartz จำหน่ายควบคู่ไปกับ 5 สีเดิม ได้แก่

 

  • สีขาว Snowflake White Pearl
  • สีดำ Jet Black
  • สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue
  • สีเทา Machine Gray
  • สีแดง Soul Red Crystal

ภายใน

การตกแต่งภายในห้องโดยสารยกดีไซน์มาจากรุ่นเดิมทั้งหมดเช่นกัน แต่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความพรีเมียมตามฉบับมาสด้า โดยเฉพาะรุ่น XDL ที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุหนัง Nappa สี Deep Red ผิวสัมผัสเนียนละเอียดแบบรถยุโรป ซึ่งสีของหนังจะออกไปทางสีแดงเข้มจัดจนเกือบจะเป็นสีดำ โดยรวมแล้วดูมีความภูมิฐานดี

 

จุดเปลี่ยนภายในห้องโดยสารก็คือเรือนไมล์ที่มีการปรับดีไซน์แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า โดยยังคงรูปแบบ Analogue ควบคู่ไปกับจอสี TFT ที่ออกแบบได้อย่างกลมกลืน มีความสวยงามและดูพรีเมียม ถือเป็นรายละเอียดที่มาสด้าทำได้ค่อนข้างดี

 

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ดีไซน์ยกมาจากรุ่นก่อนหน้า (อีกแล้ว) สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง เพิ่มเติมด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ Sports Paddle Shift ทุกรุ่นย่อย โดยที่รุ่น XDL จะถูกเพิ่มเติมด้วยปุ่ม Mi-Drive เพื่อเปิดใช้งานโหมด Off Road เนื่องจากเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

 

ส่วนหน้าจอกลางเป็นแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่ยกชุดมาจากรุ่นเดิม น่าเสียดายที่รูปแบบการแสดงผล หรือ User Interface ยังคงเหมือนเดิมเช่นกัน มาพร้อมกับปุ่ม Center Commander บริเวณคอนโซลกลางที่ช่วยให้สามารถควบคุมสั่งการได้อย่างสะดวก ไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าจอสัมผัสเพียงอย่างเดียว

 

ถึงกระนั้น Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ก็ได้มีการเพิ่มระบบ Wireless Apple CarPlay มาให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนฝั่ง Android Auto ยังคงต้องเสียบผ่าน USB เหมือนเดิม โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้แท่นชาร์จ Wireless Charger เพิ่มขึ้นมา

 

สำหรับเบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับเอนพนักพิงได้ แต่ต้องยอมรับว่าบรรยากาศห้องโดยสารตอนหลังของ CX-5 ไม่ได้โปร่งโล่งเท่ากับคู่แข่ง เน้นไปที่ความกระชับในการโดยสารเสียมากกว่า

 

ระบบเสียง Bose พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง ที่ติดตั้งลงใน Mazda CX-5 ถือว่ามีคุณภาพเสียงใช้ได้ทีเดียว ส่วนตัวผู้เขียนเองเป็นคนชอบฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ แน่นๆ ซึ่งเครื่องเสียงชุดนี้ก็ตอบสนองโสตประสาทได้เป็นอย่างดี เนื้อเสียงมีน้ำมีนวล จะเปิดเพลงหรือพอดคาสต์ก็รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง

 

อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกบังลมหน้า (Windshied Active Driving Display), ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold, กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมช่องแอร์หลัง, ระบบปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยว AFS, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 รอบทิศทาง

 

ขณะที่ระบบความปลอดภัย i-ACTIVSENSE ของ Mazda CX-5 2025 ไมเนอร์เชนจ์ ประกอบด้วย

  • LAS - Lane-Keep Assist System
  • DAA - Driver Attention Alert
  • LDWS - Lane Departure Warning System
  • MRCC w. Stop & Go - Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go
  • RCTA - Rear Cross Traffic Alert
  • ABSM - Advanced Blind Spot Monitoring
  • SBS - Smart Brake Support
  • Advance SCBS - Advanced Smart City Brake Support
  • SCBS-R Smart City Brake Support - Reverse
  • ALH - Adaptive LED Headlamps

โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า (CTS - Cruising Traffic Support) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go เพิ่มขึ้นมา หรือพูดง่ายๆ ก็คือแบบ All-speed ที่สามารถลดความเร็วอัตโนมัติได้จนถึง 0 กม./ชม. นั่นเอง

 

อุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มขึ้นแต่ละรุ่นย่อย (เทียบกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์)

รุ่น 2.0 S เพิ่มเติมด้วย

  • ไฟหน้าและไฟท้าย LED Signature ใหม่
  • กระจังหน้าและ Signature Wing ใหม่
  • ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
  • เบาะหนังสีดำ
  • Wireless Apple CarPlay
  • Sport Paddle Shift
  • Hand Free Power Lift Gate

รุ่น 2.0 SP เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 S

  • ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
  • Wireless Charger
  • Cruising Traffic Support
  • MRCC with Stop & Go

รุ่น XDL เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 SP

  • ชุดตกแต่งภายนอกสีเดียวกับตัวรถ
  • ท่อไอเสียขนาดใหญ่
  • เบาะหนัง Nappa สี Deep Red
  • ระบบขับขี่ Off Road พร้อมสวิตช์ Mi-Drive

เครื่องยนต์และช่วงล่าง

รุ่น 2.0 S และ 2.0 SP ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.9 กม./ลิตร รองรับน้ำมัน E85

 

รุ่น XDL ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV AWD อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.9 กม./ลิตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro5

 

ขณะเดียวกันช่วงล่างของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการเสริมคานด้านล่างของห้องโดยสารตอนหลัง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างตัวถัง และมีการเปลี่ยนสปริงและโช้กที่ช่วยลดแรงสะเทือนเข้ามายังห้องโดยสาร เพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

 

การขับขี่

การทดลองขับครั้งนี้ เราได้มีโอกาสจับรุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D 2.2 ลิตร ค่าตัว 1.669 ล้านบาท ซึ่งแอบน่าเสียดายที่ไม่ได้ลองขับตัวเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร เพราะเชื่อว่าน่าจะขายดีกว่ารุ่นดีเซลเป็นแน่แท้

 

โดยที่รุ่น XDL ยังคงมอบอัตราเร่งที่ฉับไว อันเป็นผลมาจากแรงบิดกว่า 450 นิวตัน-เมตร พ่วงเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ช่วยสร้างความเร้าใจในการขับขี่ได้ดีกว่าเกียร์ CVT อย่างเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง

 

ขณะที่รุ่นเบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร แม้ว่าจะไม่มีโอกาสทดลองขับ แต่ด้วยตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่ไม่ต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า ก็พอจะบอกได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งทำได้ดี แต่การเร่งแซงในย่านความเร็วกลางถึงสูงอาจเหี่ยวแห้งไปบ้าง หากเน้นใช้งานในเมืองเป็นหลักก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

 

Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ถือได้ว่าเป็น C-SUV ที่มีช่วงล่างดีที่สุดในตลาด ด้วยการเซ็ตช่วงล่างให้มีลักษณะหนึบแน่น ช่วยลดอาการโคลงที่ความเร็วสูง ขณะเดียวกันก็สามารถเก็บอาการขณะผ่านทางขรุขระได้ดี ไม่ตึงตังจนน่ารำคาญ เหมาะสำหรับพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่ต้องการรถใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป วันไหนอยากจะบู๊สักหน่อย ช่วงล่างของ CX-5 ใหม่ ก็พร้อมจะตอบสนองฝีเท้าในทันที

 

จบทริป กทม. - สัตหีบ รวมระยะทางทั้งสิ้น 175.2 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนหน้าจออยู่ที่ 16.5 กม./ลิตร เทียบกับผู้โดยสาร 3 คน (รวมคนขับ) ความเร็วเดินทางประมาณ 110 - 120 กม./ชม. เกือบตลอดทั้งเส้นทาง ก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย

 

สรุป

Mazda CX-5 2025 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นมาสด้าไว้อย่างครบถ้วน เพิ่มเติมด้วยรูปลักษณะที่สดใหม่ และออปชันเพิ่มความคุ้มค่า ซึ่งการปรับราคาจำหน่ายรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทั้ง 2 รุ่นย่อย อยู่ในระดับราคาไม่ถึง 1.3 ล้านบาท พอจะช่วยให้ CX-5 กลับมาเป็นที่น่าจับตามองได้บ้าง ส่วนรุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร แม้ราคาจะเฉียด 1.7 ล้านบาท แต่หากงบถึงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลที่ทั้งแรงและประหยัด ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้วจากค่ายคู่แข่ง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 22 Jan, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.