×
ผลการค้นหา : Eco Car
แสดง รายการ

     ความเชื่อเกี่ยวกับการอุ่นเครื่องยนต์ก่อนขับขี่ในตอนเช้าเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน แต่ปัจจุบันยังคงจำเป็นต้องวอร์มเครื่องยนต์ตอนเช้าอยู่หรือไม่ บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

ความเชื่อว่าต้องวอร์มเครื่องยนต์ก่อนออกตัวมาจากไหน?

ความเชื่อที่ว่าต้องอุ่นเครื่องยนต์ก่อนออกตัวนั้น มีรากฐานมาจาก ยุคสมัยของเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ (Carburetor) ซึ่งเป็นระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเก่า ก่อนที่จะมีการนำระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กันอย่างแพร่หลาย

     ในขณะที่เครื่องยนต์เย็น อุณหภูมิของท่อไอดีและกระบอกสูบจะต่ำ ทำให้น้ำมันเบนซินที่ถูกพ่นออกมาจากคาร์บูเรเตอร์เกิดการควบแน่นเป็นหยดเล็กๆ แทนที่จะเป็นไอละเอียด ทำให้ส่วนผสมของอากาศและน้ำมันไม่เหมาะสมสำหรับการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพ เครื่องยนต์จึงทำงานไม่ราบรื่น สั่น หรืออาจดับได้ การอุ่นเครื่องจะช่วยให้ชิ้นส่วนต่างๆ ร้อนขึ้น และช่วยให้น้ำมันกลายเป็นไอได้ดีขึ้น

 

ปัจจุบันยังจำเป็นต้องวอร์มเครื่องหรือไม่?

เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดในปัจจุบัน ใช้เซ็นเซอร์และคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างแม่นยำ ไม่ว่าอุณหภูมิเครื่องยนต์จะเป็นเท่าใด ทำให้สามารถจ่ายน้ำมันในปริมาณที่เหมาะสมและเป็นฝอยละเอียดได้ทันทีหลังสตาร์ท ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องนานๆ เหมือนเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์

     ดังนั้น ความเชื่อเรื่องการอุ่นเครื่องยนต์นานๆ ก่อนออกตัวนั้น มีรากฐานมาจากลักษณะการทำงานของเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ในอดีต ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์อย่างสิ้นเชิง

     ยิ่งไปกว่านั้น การปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เครื่องยนต์เย็น อาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด ทั้งในเรื่องของการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ และยังเป็นการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่จำเป็นอีกด้วย ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเดินเบาอยู่กับที่นั้น อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เครื่องยนต์และน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ได้รับอุณหภูมิที่เหมาะสมในการทำงานอย่างรวดเร็วเท่ากับการขับขี่จริง

     ดังนั้น สำหรับสภาพอากาศในประเทศไทย การสตาร์ทรถในตอนเช้าแล้วสามารถ ขับออกไปได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรออุ่นเครื่องเป็นเวลานาน สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ ในช่วง 2-3 นาทีแรกของการขับขี่ ควรหลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง หรือการใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงเกินไป เพื่อให้เครื่องยนต์และน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ค่อยๆ ปรับอุณหภูมิขึ้นสู่ระดับการทำงานที่เหมาะสมอย่างนุ่มนวลก็เพียงพอแล้วครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 28 Apr, 2025
อ่านต่อ

     รีวิวลองขับ Mazda CX-5 2025 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ยังคงเป็นจ่าฝูงด้านสมรรถนะ เพิ่มเติมความสดใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป กับราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ติดตามกับ เราได้เลย

 

Mazda CX-5 2025 ใหม่ มีการปรับลดรุ่นย่อยจาก 4 รุ่น เหลือ 3 รุ่น พร้อมราคาจำหน่ายทางการ ดังนี้

  • รุ่น 2.0 S ราคา 1,219,000 บาท
  • รุ่น 2.0 SP ราคา 1,299,000 บาท
  • รุ่น XDL ราคาประมาณ 1,669,000 บาท

จะเห็นว่ามาสด้าได้มีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 TURBO ออก แล้วเหลือไว้เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และดีเซล 2.2 ลิตรเท่านั้น

 

ภายนอก

รูปลักษณ์ภายนอกของ Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการปรับรายละเอียดด้านหน้าและด้านท้าย ส่วนดีไซน์ตัวถังยังคงเดิมทั้งหมด ติดตั้งไฟหน้าแบบ LED Signature ที่ออกแบบไฟส่องสว่างเวลากลางวันเป็นรูปตัว L ซ้อนกัน มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุก

 

กระจังหน้ามีการปรับรายละเอียดกรอบโครเมียม พร้อมกันชนหน้าที่เน้นความมินิมอลคล้ายกับ Mazda3 และ CX-30 รุ่นปัจจุบัน โดยที่รุ่น XDL จะมีการตกแต่งส่วนล่างของกันชนและซุ้มล้อด้วยสีเดียวกับตัวรถ ทำให้ภาพรวมดูมีความพรีเมียมแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร

 

ส่วนด้านท้ายมีการปรับดีไซน์ไฟท้ายให้ดูกลมกลืนกับไฟหน้า พร้อมกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ทุกรุ่นย่อยได้ประตูท้ายแบบไฟฟ้าที่เพิ่มเติมด้วยฟังก์ชัน Hand Free Power Lift Gate สามารถสอดเท้าบริเวณใต้กันชนเพื่อเปิดและปิดประตูท้ายได้

 

ส่วนล้ออัลลอยของรุ่น 2.0 S เป็นขนาด 17 นิ้ว รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ล้อขนาด 19 นิ้วลายใหม่ทั้งหมด

 

สีภายนอกมีให้เลือก 7 สี โดยมี 2 สีใหม่ ได้แก่ สีเทา Polymetal Gray และสีบรอนซ์ Platinum Quartz จำหน่ายควบคู่ไปกับ 5 สีเดิม ได้แก่

 

  • สีขาว Snowflake White Pearl
  • สีดำ Jet Black
  • สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue
  • สีเทา Machine Gray
  • สีแดง Soul Red Crystal

ภายใน

การตกแต่งภายในห้องโดยสารยกดีไซน์มาจากรุ่นเดิมทั้งหมดเช่นกัน แต่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความพรีเมียมตามฉบับมาสด้า โดยเฉพาะรุ่น XDL ที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุหนัง Nappa สี Deep Red ผิวสัมผัสเนียนละเอียดแบบรถยุโรป ซึ่งสีของหนังจะออกไปทางสีแดงเข้มจัดจนเกือบจะเป็นสีดำ โดยรวมแล้วดูมีความภูมิฐานดี

 

จุดเปลี่ยนภายในห้องโดยสารก็คือเรือนไมล์ที่มีการปรับดีไซน์แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า โดยยังคงรูปแบบ Analogue ควบคู่ไปกับจอสี TFT ที่ออกแบบได้อย่างกลมกลืน มีความสวยงามและดูพรีเมียม ถือเป็นรายละเอียดที่มาสด้าทำได้ค่อนข้างดี

 

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ดีไซน์ยกมาจากรุ่นก่อนหน้า (อีกแล้ว) สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง เพิ่มเติมด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ Sports Paddle Shift ทุกรุ่นย่อย โดยที่รุ่น XDL จะถูกเพิ่มเติมด้วยปุ่ม Mi-Drive เพื่อเปิดใช้งานโหมด Off Road เนื่องจากเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

 

ส่วนหน้าจอกลางเป็นแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่ยกชุดมาจากรุ่นเดิม น่าเสียดายที่รูปแบบการแสดงผล หรือ User Interface ยังคงเหมือนเดิมเช่นกัน มาพร้อมกับปุ่ม Center Commander บริเวณคอนโซลกลางที่ช่วยให้สามารถควบคุมสั่งการได้อย่างสะดวก ไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าจอสัมผัสเพียงอย่างเดียว

 

ถึงกระนั้น Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ก็ได้มีการเพิ่มระบบ Wireless Apple CarPlay มาให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนฝั่ง Android Auto ยังคงต้องเสียบผ่าน USB เหมือนเดิม โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้แท่นชาร์จ Wireless Charger เพิ่มขึ้นมา

 

สำหรับเบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับเอนพนักพิงได้ แต่ต้องยอมรับว่าบรรยากาศห้องโดยสารตอนหลังของ CX-5 ไม่ได้โปร่งโล่งเท่ากับคู่แข่ง เน้นไปที่ความกระชับในการโดยสารเสียมากกว่า

 

ระบบเสียง Bose พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง ที่ติดตั้งลงใน Mazda CX-5 ถือว่ามีคุณภาพเสียงใช้ได้ทีเดียว ส่วนตัวผู้เขียนเองเป็นคนชอบฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ แน่นๆ ซึ่งเครื่องเสียงชุดนี้ก็ตอบสนองโสตประสาทได้เป็นอย่างดี เนื้อเสียงมีน้ำมีนวล จะเปิดเพลงหรือพอดคาสต์ก็รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง

 

อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกบังลมหน้า (Windshied Active Driving Display), ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold, กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมช่องแอร์หลัง, ระบบปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยว AFS, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 รอบทิศทาง

 

ขณะที่ระบบความปลอดภัย i-ACTIVSENSE ของ Mazda CX-5 2025 ไมเนอร์เชนจ์ ประกอบด้วย

  • LAS - Lane-Keep Assist System
  • DAA - Driver Attention Alert
  • LDWS - Lane Departure Warning System
  • MRCC w. Stop & Go - Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go
  • RCTA - Rear Cross Traffic Alert
  • ABSM - Advanced Blind Spot Monitoring
  • SBS - Smart Brake Support
  • Advance SCBS - Advanced Smart City Brake Support
  • SCBS-R Smart City Brake Support - Reverse
  • ALH - Adaptive LED Headlamps

โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า (CTS - Cruising Traffic Support) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go เพิ่มขึ้นมา หรือพูดง่ายๆ ก็คือแบบ All-speed ที่สามารถลดความเร็วอัตโนมัติได้จนถึง 0 กม./ชม. นั่นเอง

 

อุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มขึ้นแต่ละรุ่นย่อย (เทียบกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์)

รุ่น 2.0 S เพิ่มเติมด้วย

  • ไฟหน้าและไฟท้าย LED Signature ใหม่
  • กระจังหน้าและ Signature Wing ใหม่
  • ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
  • เบาะหนังสีดำ
  • Wireless Apple CarPlay
  • Sport Paddle Shift
  • Hand Free Power Lift Gate

รุ่น 2.0 SP เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 S

  • ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
  • Wireless Charger
  • Cruising Traffic Support
  • MRCC with Stop & Go

รุ่น XDL เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 SP

  • ชุดตกแต่งภายนอกสีเดียวกับตัวรถ
  • ท่อไอเสียขนาดใหญ่
  • เบาะหนัง Nappa สี Deep Red
  • ระบบขับขี่ Off Road พร้อมสวิตช์ Mi-Drive

เครื่องยนต์และช่วงล่าง

รุ่น 2.0 S และ 2.0 SP ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.9 กม./ลิตร รองรับน้ำมัน E85

 

รุ่น XDL ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV AWD อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.9 กม./ลิตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro5

 

ขณะเดียวกันช่วงล่างของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการเสริมคานด้านล่างของห้องโดยสารตอนหลัง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างตัวถัง และมีการเปลี่ยนสปริงและโช้กที่ช่วยลดแรงสะเทือนเข้ามายังห้องโดยสาร เพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

 

การขับขี่

การทดลองขับครั้งนี้ เราได้มีโอกาสจับรุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D 2.2 ลิตร ค่าตัว 1.669 ล้านบาท ซึ่งแอบน่าเสียดายที่ไม่ได้ลองขับตัวเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร เพราะเชื่อว่าน่าจะขายดีกว่ารุ่นดีเซลเป็นแน่แท้

 

โดยที่รุ่น XDL ยังคงมอบอัตราเร่งที่ฉับไว อันเป็นผลมาจากแรงบิดกว่า 450 นิวตัน-เมตร พ่วงเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ช่วยสร้างความเร้าใจในการขับขี่ได้ดีกว่าเกียร์ CVT อย่างเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง

 

ขณะที่รุ่นเบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร แม้ว่าจะไม่มีโอกาสทดลองขับ แต่ด้วยตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่ไม่ต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า ก็พอจะบอกได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งทำได้ดี แต่การเร่งแซงในย่านความเร็วกลางถึงสูงอาจเหี่ยวแห้งไปบ้าง หากเน้นใช้งานในเมืองเป็นหลักก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

 

Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ถือได้ว่าเป็น C-SUV ที่มีช่วงล่างดีที่สุดในตลาด ด้วยการเซ็ตช่วงล่างให้มีลักษณะหนึบแน่น ช่วยลดอาการโคลงที่ความเร็วสูง ขณะเดียวกันก็สามารถเก็บอาการขณะผ่านทางขรุขระได้ดี ไม่ตึงตังจนน่ารำคาญ เหมาะสำหรับพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่ต้องการรถใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป วันไหนอยากจะบู๊สักหน่อย ช่วงล่างของ CX-5 ใหม่ ก็พร้อมจะตอบสนองฝีเท้าในทันที

 

จบทริป กทม. - สัตหีบ รวมระยะทางทั้งสิ้น 175.2 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนหน้าจออยู่ที่ 16.5 กม./ลิตร เทียบกับผู้โดยสาร 3 คน (รวมคนขับ) ความเร็วเดินทางประมาณ 110 - 120 กม./ชม. เกือบตลอดทั้งเส้นทาง ก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย

 

สรุป

Mazda CX-5 2025 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นมาสด้าไว้อย่างครบถ้วน เพิ่มเติมด้วยรูปลักษณะที่สดใหม่ และออปชันเพิ่มความคุ้มค่า ซึ่งการปรับราคาจำหน่ายรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทั้ง 2 รุ่นย่อย อยู่ในระดับราคาไม่ถึง 1.3 ล้านบาท พอจะช่วยให้ CX-5 กลับมาเป็นที่น่าจับตามองได้บ้าง ส่วนรุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร แม้ราคาจะเฉียด 1.7 ล้านบาท แต่หากงบถึงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลที่ทั้งแรงและประหยัด ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้วจากค่ายคู่แข่ง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 22 Jan, 2025
อ่านต่อ

     ปุ่ม ECO หรือปุ่มประหยัดพลังงาน เป็นฟังก์ชันที่ถูกติดตั้งมาในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

 

หลักการทำงานของปุ่ม ECO

เมื่อกดปุ่ม ECO รถแต่ละรุ่นอาจทำงานแตกต่างกันเพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน ดังนี้

  • ลดการตอบสนองของคันเร่ง - เมื่อกดปุ่ม ECO การตอบสนองของคันเร่งจะช้าลง ทำให้เครื่องยนต์เร่งรอบได้ช้ากว่าปกติ ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ปรับการตอบสนองเกียร์ - ในรถยนต์ที่มีเกียร์อัตโนมัติ ระบบเกียร์จะปรับการทำงานเพื่อให้เปลี่ยนเกียร์ที่รอบต่ำ ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมัน
  • ปรับระบบแอร์ - ระบบปรับอากาศจะทำงานในโหมดประหยัดพลังงาน โดยจะลดกำลังลมและควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม เพื่อลดการใช้พลังงานของคอมเพรสเซอร์
  • ระบบอื่นๆ - บางรุ่นอาจมีการปรับการทำงานของระบบอื่นๆ เช่น ระบบไฟฟ้า หรือระบบช่วยเหลือการขับขี่ เพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อดีของการใช้โหมด ECO

  • ประหยัดน้ำมัน - การใช้โหมด ECO ช่วยให้รถยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้น
  • ลดมลพิษ - การเผาไหม้เชื้อเพลิงที่น้อยลง ทำให้เกิดมลพิษน้อยลง
  • เพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ - การทำงานของเครื่องยนต์ที่นุ่มนวลขึ้น มีส่วนช่วยให้อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ยาวนานขึ้นได้

ข้อเสียของการใช้โหมด ECO

  • อัตราเร่งลดลง - การตอบสนองของคันเร่งที่ช้าลง ทำให้อัตราเร่งลดลง ไม่เหมาะสำหรับการขับขี่ในสภาพที่ต้องการความเร่งทันที
  • ความสะดวกสบายลดลง - การปรับลดกำลังของระบบปรับอากาศ อาจทำให้รู้สึกอึดอัดในบางครั้ง

เมื่อไหร่ควรใช้โหมด ECO?

  • การขับขี่ในเมือง - ในสภาพการจราจรที่ติดขัด การใช้โหมด ECO จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น
  • การขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ - การขับขี่ด้วยความเร็วคงที่บนทางหลวง การใช้โหมด ECO จะช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมัน
  • การขับขี่ระยะทางไกล - การใช้โหมด ECO ในการเดินทางระยะไกล จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น

     ดังนั้น ปุ่ม ECO เป็นฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทำงานของรถยนต์เพื่อให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้โหมด ECO ควรพิจารณาถึงสภาพการจราจรและความต้องการในการใช้งานด้วย จะได้ไม่รู้สึกรำคาญขณะเปิดใช้งาน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 17 Jan, 2025
อ่านต่อ

     โตโยต้าเปิดตัว "Toyota Fortuner Leader S" ใหม่ รุ่นเริ่มต้นเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานเน้นความคุ้มค่า เคาะราคาจำหน่าย 1,239,000 บาท

Toyota Fortuner Leader S ถูกติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานภายนอก ได้แก่ ไฟหน้า Bi-Beam LED พร้อม Daytime Running Lights, ไฟตัดหมอกหน้า LED, ไฟท้าย LED Light Guiding และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว

 

     ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งหุ้มวัสดุผ้าคุณภาพสูง, มาตรวัดแบบเรืองแสง พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 4.2 นิ้ว, กุญแจรีโมท Jack Knife Key, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมแผ่นกรองปรับอากาศ PM2.5, หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay / Android Auto, กล้องมองหลัง (Back Monitor) และช่องจ่ายไฟ AC 220V

     ด้านระบบความปลอดภัยถูกติดตั้งระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS), ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC), ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบเสริมแรงเบรก (BA), ระบบกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย (TSC), ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAC), ดิสก์เบรก 4 ล้อ, ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 ตำแหน่ง, โครงสร้างนิรภัย GOA, พวงมาลัยแบบยุบตัวได้ และเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 7 ที่นั่ง

    Toyota Fortuner Leader S ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ รหัส 2GD-FTV (High) ความจุ 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 14.3 กม./ลิตร (อ้างอิงผล ECO Sticker)

 

     ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง พร้อมระบบควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็ว

Toyota Fortuner Leader S มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเงิน Silver Metallic, สีดำ Attitude Black Mica และสีขาวมุก Platinum White Pearl (เพิ่มเงิน 12,000 บาท)

     ราคาจำหน่าย Toyota Fortuner Leader ทั้ง 4 รุ่นย่อย ได้แก่ 2.4 Leader S ราคา 1,239,000 บาท (รุ่นย่อยใหม่), 2.4 Leader G ราคา 1,400,000 บาท, 2.4 Leader V ราคา 1,530,000 บาท และ 2.4 Leader V 4WD ราคา 1,600,000 บาท

 

ขอบคุณข้อมูลจาก mgronline.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 04 Nov, 2024
อ่านต่อ

     Isuzu D-Max MHEV 2025 ใหม่ พร้อมขุมพลังดีเซล 1.9 Mild Hybrid เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมการออกตัวและเร่งเครื่องยนต์ เคาะราคาจำหน่าย 1,145,000 บาท

 

Isuzu D-Max MHEV เปิดตัวด้วยรุ่น D-Max Hi-lander 1.9 Ddi MHEV เกรด M เกียร์อัตโนมัติ ตัวถังสีขาวมุกโดโลไมท์ เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 สานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนในระดับโลกและระดับประเทศผ่าน “โซลูชั่นส์อันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Multi-pathways to Carbon Neutrality)

 

Isuzu D-Max Hi-lander 1.9 Ddi MHEV ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 Ddi มาตรฐาน Euro 5 พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมการขับเคลื่อนในช่วงออกตัวและขณะเร่งเครื่อง และระบบแปลงพลังงานที่สูญเสียในขณะถอนคันเร่งหรือเบรกเป็นพลังงานไฟฟ้า (Regenerative Braking System)

 

ติดตั้งแบตเตอรี่ไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ 8.4 แอมป์ ความจุ 370 วัตต์-ชั่วโมง เพื่อช่วยลดการปล่อยไอเสียและสามารถปั่นไฟเพื่อชาร์จพลังงานเมื่อถอนคันเร่ง (Engine Brake) ตามมาตรฐาน EURO 5

 

ภายในห้องโดยสารติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Integrated MID ขนาด 7 นิ้ว รองรับการแสดงสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ และข้อมูลอื่นๆ ได้หลากหลาย ปรับเปลี่ยนหน้าจอได้ 2 สไตล์ และเชื่อมต่อข้อมูลกับ Infotainment Display ได้

 

การรับประกัน Isuzu D-Max Hi-lander 1.9 Ddi MHEV

  • เครื่องยนต์ 1.9 Ddi รับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กม.
  • แบตเตอรี่ Mild Hybrid รับประกัน 10 ปี หรือ 350,000 กม.
  • ระบบ Mild Hybrid รับประกัน 5 ปี หรือ 175,000 กม.

ทั้งนี้ Isuzu D-Max 1.9 Ddi MHEV จะวางจำหน่ายอีก 1 เกรด คือ D-Max Cab4 1.9 Ddi MHEV เกรด S เกียร์อัตโนมัติ สีเงินโบฮีเมียนเมทัลลิก โดยจะถูกประกาศราคาจำหน่ายอีกครั้ง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 24 Oct, 2024
อ่านต่อ

     กระบะไฟฟ้าขนาดกลางไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ Isuzu ประกาศเตรียมเปิดตัว D-Max EV ภายในปี 2025 ขณะที่ Toyota ก็มีแผนเปิดตัว Hilux (หรือ Hilux Revo) เวอร์ชันไฟฟ้าล้วนในปี 2026 และล่าสุด Ford ก็ประกาศเตรียมเปิดตัว Ranger EV ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้

 

อันที่จริง Ford ไม่ได้ประกาศเตรียมเปิดตัว Ranger EV ชัดๆ เสียทีเดียว หากแต่ระบุว่ามีแผนเปิดตัวรถกระบะขนาดกลางขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มใหม่ภายในปี 2027 นี้ โดยเน้นจับกลุ่มลูกค้าที่มองหาความคุ้มค่า ระยะทางขับขี่ที่มากกว่า อเนกประสงค์กว่า และรองรับการใช้งานได้หลากหลาย

 

จึงมีความเป็นไปได้สูงว่ารถกระบะรุ่นดังกล่าวก็คือ Ranger ที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน ขณะที่ "แพล็ตฟอร์มใหม่" ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็น Ranger ที่พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มใหม่ทั้งหมด หรือ Ranger EV อาจถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มสำหรับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าโดยเฉพาะก็เป็นได้

 

ก่อนหน้านี้ ฟอร์ตเผยโฉม Ranger PHEV ขุมพลัง Plug-in Hybrid เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยมีกำหนดเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งจะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 EcoBoost ควบคู่กับมอเตอร์และแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางขับขี่ในโหมดไฟฟ้าสูงสุด 45 กม. ทั้งยังมีฟังก์ชัน Pro Power Onboard ที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกได้

 

ส่วนความคืบหน้าของ Ford Ranger EV ต้องรอรายละเอียดกันอีกครั้ง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 11 Sep, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.