×
ผลการค้นหา : รถยนต์
แสดง รายการ

     ระบบเกียร์ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ทุกคัน การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะที่เหมาะสม จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานมากขึ้น แล้วทราบหรือไม่ว่ารถยนต์แต่ละคันควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกกี่กิโลเมตร?

 

"น้ำมันเกียร์" ควรเปลี่ยนถ่ายทุกกี่กิโลเมตร?

โดยปกติแล้วรถยนต์เกียร์อัตโนมัติควรเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก 40,000 กม. หรือทุก 2 ปี แล้วแต่ระยะไหนถึงก่อน ขณะที่รถยนต์บางรุ่นอาจมีระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์แตกต่างไปจากนี้เล็กน้อย

 

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์จะช่วยรักษาประสิทธิภาพในการหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในชุดเกียร์ ช่วยลดการสึกหรอ ทำให้เกียร์ยังคงเปลี่ยนอัตราทดได้อย่างนุ่มนวล และมีอายุการใช้งานยาวนาน

 

น้ำมันเกียร์แบบ Lifetime ไม่ต้องเปลี่ยนจริงหรือ?

รถยนต์บางรุ่นระบุในคู่มือว่าใช้น้ำมันเกียร์แบบ Lifetime Transmission Fluid ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตลอดอายุการใช้งาน แต่โดยหลักการแล้วน้ำมันเกียร์จะมีการเสื่อมสภาพอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้งานในบ้านเราที่ต้องเผชิญอากาศร้อนและรถติดอยู่เป็นประจำ หากไม่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์แล้วล่ะก็ จะเกิดเศษตะกอนและสิ่งสกปรกตกค้างที่ทำให้ชุดเกียร์เสียหายในระยะยาวได้

 

ดังนั้น แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์จะเคลมว่าใช้น้ำมันเกียร์แบบ Lifetime แนะนำว่าควรเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์อยู่ดี เพราะรถยนต์ส่วนมากจะให้การรับประกันที่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรเท่านั้น

 

เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์มีค่าใช้จ่ายกี่บาท?

ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์จะขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่นและยี่ห้อ มากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันเกียร์ที่ใช้ หากเป็นรถยนต์รุ่นยอดนิยมทั่วไปจะมีค่าใช้จ่ายที่ศูนย์บริการรวมค่าแรงประมาณ 2 พันบาท แต่หากเปลี่ยนถ่ายที่อู่หรือร้านนอกก็มักจะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่านั้น

 

สิ่งสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ คือการเลือกสเปกน้ำมันเกียร์ให้ถูกต้องตามเกียร์แต่ละประเภท โดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเกียร์สูตรเฉพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลังนั่นเอง

 

     เมื่อทราบเช่นนี้แล้วก็ไม่ควรละเลยการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะ เพื่อให้รถสุดที่รักของเราอยู่ในสภาพดีไปอีกยาวนานครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 28 Aug, 2025
อ่านต่อ

     หากพูดถึงการเปลี่ยนยางรถยนต์ เรามักจะได้ยินคำว่า "ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ" ควบคู่กันไปเสมอ แต่เชื่อว่ามือใหม่หลายคนไม่ทราบว่าทั้ง 2 อย่างแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักการตั้งศูนย์และถ่วงล้อกัน

 

ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ คืออะไร?

มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าการ "ตั้งศูนย์" และ "ถ่วงล้อ" คือสิ่งเดียวกัน แต่อันที่จริงแล้วทั้ง 2 อย่างมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยสามารถทำทั้ง 2 อย่างในคราวเดียวกันได้ หรือจะแยกทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามอาการของรถก็ได้เช่นกัน

 

ตั้งศูนย์

การตั้งศูนย์เป็นการตั้งค่าการทำงานของระบบช่วงล่าง เพื่อไม่ให้รถเป๋ไปทางด้านซ้ายหรือขวาขณะขับขี่ หากศูนย์ล้อเป็นปกติ รถจะสามารถเคลื่อนที่ไปทิศทางตรงได้อย่างแม่นยำแม้ว่าจะมีการปล่อยพวงมาลัย หรือจับพวงมาลัยแบบหลวมๆ ก็ตาม

 

แต่หากศูนย์ล้อมีความผิดปกติ หากปล่อยมือออกจากพวงมาลัยแล้วล่ะก็ รถจะเอียงไปทางด้านซ้ายหรือด้านขวาทันที ยิ่งรถเอียงมากเท่าไหร่ แสดงว่าศูนย์ล้อยิ่งมีความผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะทำให้การควบคุมรถยากขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้ยางเกิดความสึกหรอผิดปกติ ยางเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรได้

 

ถ่วงล้อ

หากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นว่ายางรถยนต์ทุกเส้นจะมีลักษณะเป็นทรงกลมโดยสมบูรณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วยางแต่ละเส้นไม่ได้มีการเฉลี่ยน้ำหนักเท่ากันตลอดทั้งเส้น ส่งผลให้น้ำหนักของแต่ละจุดบนเส้นรอบวงยางไม่เท่ากัน meให้เกิดแรงสะเทือนขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง โดยเฉพาะความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นกับล้อคู่หน้า จะทำให้แรงสะเทือนส่งผ่านมายังพวงมาลัย ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกถึงอาการสั่นได้มากกว่าล้อคู่หลัง

 

การถ่วงล้อเป็นการนำตะกั่วถ่วงล้อไปติดไว้บริเวณด้านในของวงล้อ เพื่อให้ล้อและยางเกิดความสมดุล จะช่วยลดอาการสั่นลงให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย

 

การตั้งศูนย์ - ถ่วงล้อ ทำเมื่อไหร่?

การตั้งศูนย์ และถ่วงล้อ มักจะทำทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อปรับค่าต่างๆ ให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม เพราะการขับรถตกหลุมอย่างรุนแรงก็อาจทำให้ศูนย์ล้อเปลี่ยนไปจากเดิมได้

 

อย่างไรก็ดี หากว่ายังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่ แต่ช่วงล่างของรถมีอาการผิดเพี้ยนไป เช่น รถแฉลบไปข้างใดข้างหนึ่งเมื่อปล่อยพวงมาลัย แบบนี้จะต้องนำรถเข้ารับการ "ตั้งศูนย์" หรือหากรถมีอาการสั่นขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง แบบนี้จะต้องเข้ารับการ "ถ่วงล้อ" เพื่อให้กลับมานิ่งดังเดิม

 

     อย่างไรก็ดี อาการผิดปกติของช่วงล่างอาจไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยการตั้งศูนย์ - ถ่วงล้อเสมอไป เพราะหากมีการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนช่วงล่าง ก็อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติได้เช่นกัน โดยมากแล้วช่างจะแนะนำให้เปลี่ยนหรือซ่อมช่วงล่าง จากนั้นจึงค่อยนำรถเข้ารับการตั้งศูนย์หรือถ่วงล้อตามความจำเป็นต่อไปครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 28 Aug, 2025
อ่านต่อ

     รู้หรือไม่ว่าความเร็วที่โชว์บนมาตรวัด จะสูงกว่าความเร็วที่รถเคลื่อนที่จริงเสมอ เช่น เรือนไมล์โชว์ความเร็ว 100 กม./ชม. แต่ความเร็วที่วัดโดยจีพีเอสอาจอยู่เพียง 97 กม./ชม. ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

ทำไมความเร็วที่โชว์กับความเร็วจริงถึงไม่เท่ากัน?

หากใครคุ้นเคยกับระบบนำทางที่มีการบอกความเร็วของรถ หรือเคยเปิดแอปพลิเคชันตรวจวัดความเร็วที่รถกำลังเคลื่อนที่อยู่แล้วล่ะก็ คงจะทราบดีว่ารถทุกคัน (ไม่เว้นแม้แต่มอเตอร์ไซค์) จะบอกความเร็วบนมาตรวัดสูงกว่าความเร็วที่รถวิ่งจริงเสมอ ซึ่งโดยมากจะแตกต่างกันที่ราว 3-5 กม./ชม. ตลอดทุกช่วงความเร็ว หรือผู้ผลิตรถยนต์กำลังหลอกเราอยู่หรืออย่างไร?

 

เพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้องนั้น เราจะต้องรู้จักการทำงานของมาตรวัดความเร็วในรถยนต์กันก่อน โดยหากเป็นรถยนต์รุ่นเก่าในอดีต จะอาศัยการวัดความเร็วด้วยระบบสาย (Eddy Current Type) ส่วนรถในปัจจุบันจะอาศัยสัญญาณจากเซ็นเซอร์วัดความเร็ว (Speed Sensor) ซึ่งทั้งคู่จะตรวจวัดการหมุนของล้อ แล้วจึงแปรผลมาเป็นความเร็วที่รถกำลังเคลื่อนที่อีกทีหนึ่ง

 

จะสังเกตได้ว่าหากรถมีการออกตัวแบบล้อฟรี เข็มความเร็วจะดีดขึ้นอย่างรวดเร็วตามการหมุนของล้อในขณะนั้น ทั้งที่รถเพิ่งจะขยับตัวออกจากจุดหยุดนิ่งเท่านั้นเอง สะท้อนให้เห็นว่าความเร็วที่โชว์บนมาตรวัดไม่ใช่ความเร็วจริงเสมอไป หากแต่เป็นความเร็วจากการหมุนของล้อต่างหาก

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ขนาดของยางล้อจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ค่าความเร็วที่แสดงบนเรือนไมล์ผิดเพี้ยน เพราะหากเปลี่ยนไปใช้ล้อและยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะทำให้รอบการหมุนของล้อช้าลง ส่งผลให้ความเร็วที่โชว์บนมาตรวัดต่ำกว่าความเป็นจริงเพิ่มมากขึ้นไปอีก

 

เพื่อเป็นการชดเชยค่าความผิดเพี้ยนเหล่านี้ ผู้ผลิตรถยนต์จึงออกแบบมาตรวัดให้แสดงความเร็วสูงกว่าความเร็วจริงเล็กน้อย เพื่อลดโอกาสที่ผู้ขับขี่จะใช้ความเร็วเกินกฎหมายกำหนดนั่นเอง

 

นอกจากนี้ ความเร็วที่แสดงบนมาตรวัดยังต้องสอดคล้องกับกฎหมายอีกด้วย โดยรถยนต์ที่สามารถวางจำหน่ายในสหภาพยุโรปได้นั้น จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนด UN ECE Regulation 39 ซึ่งมีใจความส่วนหนึ่งระบุว่า ความเร็วที่แสดงบนมาตรวัดจะต้องไม่ต่ำกว่าความเร็วจริง และยังสามารถแสดงความเร็วได้สูงกว่าความเร็วจริง 10% + 4 กม./ชม. หรือ 6 กม./ชม. ขึ้นอยู่กับประเภทของรถ

 

นั่นหมายความว่าหากความเร็วจริงอยู่ที่ 100 กม./ชม. มาตรวัดความเร็วจะต้องแสดงผลไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม. และอาจเพี้ยนไปได้มากถึง 116 กม./ชม. เลยทีเดียว

 

     ทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมมาตรวัดความเร็วของรถจริงสูงกว่าความเร็วจริงเสมอนั่นเองครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 28 Aug, 2025
อ่านต่อ

     ทุกครั้งที่คุณขับรถกลับถึงบ้าน เลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง "P" แล้วดับเครื่องยนต์ หลายคนทำเพียงเท่านี้แต่ก็มีอีกมากมายทำเพิ่มคือการดึง "เบรกมือ" เสริมขึ้นมาจนสุด เกิดเป็นคำถามที่ถกเถียงกันมานานว่า การจอดรถในบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ราบ ไม่ใช่ทางลาดชัน จำเป็นต้องดึงเบรกมือควบคู่กับเกียร์ P จริงหรือ? วันนี้ เรามาทำความเข้าใจกันครับ

 

การทำงานของ"เกียร์ P" และ "เบรกมือ"

ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าทั้งสองระบบนี้ทำงานอย่างไรเริ่มจาก

  • เกียร์ P (Park): เมื่อคุณเข้าเกียร์ P ไม่ได้หมายความว่าระบบเบรกของรถกำลังทำงาน แต่เป็นกลไกการใช้ "สลักล็อกเกียร์" (Parking Pawl) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนโลหะขนาดเล็ก เข้าไปขัดกับเฟืองเกียร์เพื่อไม่ให้ชุดเกียร์และเพลาขับหมุน ลองนึกภาพแท่งเหล็กเล็กๆ ที่เสียบเข้าไปเพื่อล็อกฟันเฟืองขนาดใหญ่ไม่ให้เคลื่อนที่ หน้าที่ของมันคือการ "ล็อก" การหมุนของล้อผ่านชุดเกียร์เท่านั้น
  • เบรกมือ (Parking Brake): คือการสั่งงาน "ระบบเบรก" ของรถยนต์โดยตรง (ส่วนใหญ่จะเป็นล้อคู่หลัง) เพื่อจับจานเบรกหรือดรัมเบรกให้หยุดนิ่งสนิท เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อ "ยึด" ล้อไม่ให้ขยับโดยเฉพาะ มีความแข็งแรงและทนทานสูง

 ทำไมจอดรถเกียร์ออโต้ต้องเข้าทั้ง P และ เบรคมือ

แม้จะจอดในพื้นที่ราบที่บ้าน การใช้เบรกมือทุกครั้งยังคงเป็นสิ่งที่เราแนะนำอย่างยิ่ง เพราะจริงๆ แล้วการเข้าเบรคมือจะมีหน้าที่สำคัญคือ

1. ลดภาระและยืดอายุการใช้งานชุดเกียร์ นี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุด! การเข้าเกียร์ P เพียงอย่างเดียว จะทำให้น้ำหนักทั้งหมดของรถยนต์ (ซึ่งหนักเป็นตัน) ถูกถ่ายลงบน "สลักล็อกเกียร์" ชิ้นเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว แม้บนพื้นราบก็ยังมีแรงกดทับอยู่ตลอดเวลา และหากพื้นมีความลาดเอียงแม้เพียงเล็กน้อย แรงกดทับมหาศาลนี้จะส่งผลให้สลักและเฟืองเกียร์เกิดการสึกหรอสะสมในระยะยาว การดึงเบรกมือก่อน จะให้ระบบเบรกเป็นผู้รับน้ำหนักของรถไว้ทั้งหมด ส่วนสลักเกียร์ P จะทำหน้าที่เป็นเพียงระบบล็อกสำรอง ช่วยลดภาระและยืดอายุการใช้งานของชุดเกียร์ซึ่งมีค่าซ่อมบำรุงที่สูงลิ่ว รวมถึงยางรองแท่นเครื่องเช่นกันครับ

2. เพิ่มความปลอดภัยสูงสุด อุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น หากมีรถคันอื่นมาชนท้ายรถของคุณที่จอดอยู่ แรงกระแทกอาจรุนแรงจนทำให้สลักล็อกเกียร์ที่รับน้ำหนักอยู่ตัวเดียวเสียหายหรือหักได้ ซึ่งจะทำให้รถไหลไปสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือบุคคลอื่นได้ การมีเบรกมือที่ล็อกล้อไว้อีกชั้นหนึ่ง จะเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยป้องกันไม่ให้รถเคลื่อนที่

3. ป้องกันอาการ "เกียร์ติด" และเสียงกระชาก เคยรู้สึกไหมว่าบางครั้งการเลื่อนเกียร์ออกจากตำแหน่ง P ทำได้ยากและมีเสียงดัง "แกร็ก!" หรือ "กึ้ก!" นั่นเป็นอาการที่เกิดจากสลักล็อกเกียร์ถูกน้ำหนักรถกดทับจนแน่น ทำให้ต้องใช้แรงในการปลดล็อกมากขึ้น เสียงที่เกิดขึ้นคือเสียงที่สลักกระแทกกับเฟืองตอนปลดล็อก ซึ่งเป็นสัญญาณของการทำงานหนักเกินไป การใช้เบรกมือจะช่วยป้องกันปัญหานี้ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลและเงียบขึ้น

 

วิธีที่ถูกต้องในการจอดรถเกียร์ออโต้ (เกียร์อัตโนมัติ)

เพื่อถนอมเกียร์และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรจอดรถตามลำดับขั้นตอนนี้จนเป็นนิสัย

ขั้นตอนการจอดเกียร์ออโต

  1. เหยียบเบรกเท้าให้รถหยุดนิ่งสนิท
  2. เลื่อนตำแหน่งเกียร์ไปที่ N (เกียร์ว่าง)
  3. ดึงเบรกมือขึ้นให้สุด (ขั้นตอนนี้ระบบเบรกจะรับน้ำหนักรถไปเต็มๆ)
  4. ค่อยๆ ปล่อยเบรกเท้า เพื่อให้รถหยุดนิ่งสนิทด้วยแรงของเบรกมือ
  5. เหยียบเบรกเท้าอีกครั้ง และเลื่อนคันเกียร์ไปที่ P (Park)
  6. ดับเครื่องยนต์

ขั้นตอนการออกรถเกียร์ออโต้

  1. เหยียบเบรกเท้าค้างไว้
  2. สตาร์ทเครื่องยนต์
  3. เลื่อนคันเกียร์ออกจาก P มาที่ R หรือ D
  4. ปลดเบรกมือลง
  5. ปล่อยเบรกเท้าและเคลื่อนรถ

     ดังนั้นแล้วการจอดรถเข้าบ้านที่ถูกต้องโดยเฉพาะรถเกียร์อัตโนมัติ จะเป็นเรื่องดีเพราะจถทำให้การสึกหรอของรถนั้นน้อยลงและใช้งานไปได้นานๆ การเปลี่ยนนิสัยและพฤติกรรมการใช้รถก็จะช่วยให้ประหยัดค่าซ่อมรถระยะยาวได้เช่นเดียวกันครับ ครั้งหน้า เราจะมาเล่าเทคนิคการใช้รถอะไรอย่าลืมมาติดตามกันครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 25 Aug, 2025
อ่านต่อ

     เวลาที่เราเห็นแสงน้อยลงเราก็ต้องเปิดไฟเพื่อให้สามารถมองเห็นได้เช่นเดียวกัน รวมถึงรถยนต์ หากเวลากลางคืนเราก็เปิดไฟหน้า แต่ด้วยความที่รถสมัยใหม่มีฟีเจอร์เยอะจนทำให้เราลืมเปิดไฟหน้าได้เช่นเดียวกัน รอบนี้ เรารวม 5 เรื่องที่เกี่ยวกับไฟหน้า ที่ยังเข้าใจผิด และส่งผลร้ายกว่าที่คุณคิด มีเรื่องอะไรเรามาดูกัน

 

5 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับไฟหน้า ที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดมานาน

 1. เข้าใจผิดว่า "ไฟ DRL (Daytime Running Lights)" ใช้แทนไฟหน้าตอนกลางคืนได้

เรื่องแรกคือ รถยนต์รุ่นใหม่หลายคันมีไฟ DRL ที่สว่างจ้าในเวลากลางวัน ทำให้ผู้ขับขี่บางคนคิดว่าไฟเหล่านี้เพียงพอสำหรับการขับขี่ในที่มืด หรือพลบค่ำแล้ว จึงละเลยการเปิดไฟหน้าหลัก ความจริงคือ ไฟ DRL มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการมองเห็นรถของคุณในเวลากลางวันเท่านั้น ไม่ได้ให้ความสว่างเพียงพอสำหรับส่องทางในเวลากลางคืน และที่สำคัญ ไฟ DRL มักจะเปิดเฉพาะด้านหน้า ทำให้ไฟด้านท้ายรถไม่ติดมืดสนิท ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งเมื่อขับขี่ในที่มืด เพราะรถที่ตามมาอาจมองไม่เห็นรถของคุณ ทำให้เสี่ยงต่อการชนท้ายสูงมาก

2. เข้าใจผิดว่า "ไฟตัดหมอก" ใช้แทนไฟหน้าได้ในทุกสถานการณ์

บางครั้งผู้ขับขี่บางคนนิยมเปิดไฟตัดหมอกหน้าในเวลากลางคืน โดยเฉพาะในเมืองที่คิดว่าให้ความสว่างเพียงพอแล้ว หรือบางรายอาจเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาแม้สภาพอากาศปกติ ความจริงและ ไฟตัดหมอกออกแบบมาเพื่อให้ความสว่างในระยะใกล้ และกระจายแสงในมุมกว้าง เพื่อช่วยในการมองเห็นเมื่อมีทัศนวิสัยไม่ดี เช่น ฝนตกหนัก หมอกลงจัด หรือมีควันหนาแน่น การเปิดไฟตัดหมอกในสภาพอากาศปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่ไม่มีหมอก จะทำให้แสงไฟแยงตาผู้ขับขี่คนอื่นที่สวนทางมาอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดอันตรายและสร้างความรำคาญใจอย่างมาก

3. คิดว่า "เปิดไฟสูง" ตลอดเวลาดีกว่าเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนที่สุด

 เวลาที่หลายคนขับรถและมองไม่เห็นเลยเปิดไฟสูง จนทำให้เปิดไฟค้างไว้ และเชื่อว่ามองเห็นแน่นอน แต่ความจริงที่ร้ายแรงค การเปิดไฟสูงขณะมีรถสวนทาง หรือขับตามหลังรถคันอื่น จะทำให้แสงไฟไปแยงตาผู้ขับขี่เหล่านั้น ทำให้มองไม่เห็นทางชั่วขณะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้เสมอ ควรเปลี่ยนเป็นไฟต่ำทันทีเมื่อมีรถคันอื่นเข้ามาในระยะสายตา และอาจจะทำให้ตาล้าจนเกิดอุบัติเหตุได้

4. คิดว่า "ไฟหน้าอัตโนมัติ (Auto Headlights)" ทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100%

รถยนต์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ มีระบบไฟหน้าอัตโนมัติที่เปิด-ปิดเองตามสภาพแสง ผู้ขับขี่จึงวางใจและไม่เคยตรวจสอบการทำงานของระบบเลยแต่ ความจริง แม้ระบบไฟหน้าอัตโนมัติจะสะดวกสบาย แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% เสมอไป บางครั้งอาจมีปัจจัยที่ทำให้เซ็นเซอร์ทำงานผิดพลาด เช่น

  • เซ็นเซอร์สกปรกหรือถูกบดบัง ฝุ่นละออง โคลน หรือหิมะที่เกาะอยู่บนเซ็นเซอร์แสง อาจทำให้ระบบเข้าใจผิดว่ายังมีแสงสว่างเพียงพอ
  • สภาพแสงที่ซับซ้อน เช่น การขับรถออกจากอุโมงค์ที่มืดเข้าสู่บริเวณที่มีแสงจ้า หรือขับผ่านใต้ต้นไม้ใหญ่บ่อยๆ ระบบอาจใช้เวลาในการปรับตัว
  • พลบค่ำหรือรุ่งอรุณ ในช่วงเวลาที่แสงเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ระบบอาจยังไม่ทำงานทันที ทำให้เกิดช่วงเวลาที่ไฟหน้ายังไม่ถูกเปิดใช้งาน

ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบแผงหน้าปัดเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไฟหน้าได้เปิดใช้งานแล้ว โดยเฉพาะในสภาพแสงที่ก้ำกึ่ง

5. ละเลยการปรับ "ระดับไฟหน้า" ให้เหมาะสมกับการบรรทุกหรือการใช้งาน

ผู้ขับขี่หลายคนไม่เคยสนใจปุ่มปรับระดับไฟหน้า (Headlight Leveling) ซึ่งมักอยู่บริเวณแผงหน้าปัดด้านคนขับ และปล่อยให้ตั้งค่าไว้ที่ตำแหน่งเดิมตลอดเวลา เพราะเข้าใจว่ามองเห็นไกลดี ความจริง เมื่อรถมีการบรรทุกสัมภาระหนัก หรือมีผู้โดยสารจำนวนมากท้ายรถ ท้ายรถจะจมลง ทำให้หน้ารถเชิดขึ้น และลำแสงไฟหน้าจะพุ่งสูงขึ้นไปแยงตาผู้ขับขี่ที่สวนทางมาอย่างมาก การปรับระดับไฟหน้าลง (ลดลำแสงลง) จะช่วยให้ลำแสงไม่สูงเกินไป ทำให้ไม่รบกวนผู้ใช้ถนนคนอื่น และยังคงให้การส่องสว่างที่เหมาะสมกับเส้นทาง

 

     ดังนั้น ในการใช้ไฟหน้ารถอย่างถูกต้องไม่ใช่เพียงเรื่องของกฎจราจร แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยสำหรับตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทางทุกคน การทำความเข้าใจและใช้งานระบบไฟรถยนต์อย่างถูกวิธี จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างมหาศาล อย่าละเลยเรื่องเล็กน้อยที่อาจนำไปสู่ผลร้ายแรง! ได้เช่นเดียวกัน สุดท้ายควรลองอ่านคู่มือประจำรถและปรับใช้ให้เหมาะสมด้วยครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 25 Aug, 2025
อ่านต่อ

เตือนภัยหน้าร้อน! 3 จุดเสี่ยงจอดรถ "ห้ามทำ" ถ้าไม่อยากยางแตกกลางแดด

ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยรถยนต์ออกโรงเตือนผู้ขับขี่ หลีกเลี่ยง 3 ความเสี่ยง ในการจอดรถช่วงอากาศร้อนจัด มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายต่อยางรถยนต์ ทั้งสึกหรอเร็วกว่าปกติ หรือถึงขั้นระเบิดได้

1. อย่าจอดโดยล้อเอียง

ข้อแรกที่หลายคนมองข้าม คือการจอดรถโดยไม่ตั้งล้อตรง โดยเฉพาะเมื่อต้องจอดนาน ๆ การปล่อยให้ล้อเอียงหรือหันไปด้านใดด้านหนึ่งอาจทำให้แก้มยางรับแรงกดมากกว่าปกติ ส่งผลให้ยางบวม หรือแตกลายได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่อุณหภูมิสูงจัด

คำแนะนำ: ก่อนดับเครื่อง ควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อตรงเสมอ เพื่อกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอ ช่วยถนอมยางในระยะยาว

2. หลีกเลี่ยงการจอดบนฟุตบาทหรือพื้นที่ยกสูง

การจอดรถบนขอบฟุตบาท หรือพื้นต่างระดับ อาจทำให้ล้อด้านหนึ่งแบกรับน้ำหนักมากกว่าด้านอื่น ส่งผลให้ยางด้านนั้นสึกเร็วกว่าปกติ อีกทั้งยังผิดกฎหมายในบางพื้นที่ เช่น ลอนดอนและสกอตแลนด์

     นอกจากนี้ ความไม่สมดุลของน้ำหนักยังทำให้โครงสร้างยางเสียรูป เมื่อเจอกับอุณหภูมิสูง อาจทำให้ยางเสียหายหนักยิ่งขึ้น

3. อย่าจอดบนโลหะหรือลาดยาง (แอสฟัลต์) ในแดดจ้า

พื้นผิวอย่างตะแกรงเหล็ก หรือถนนแอสฟัลต์ในวันที่แดดแรง สามารถมีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านั้น หากยางสัมผัสกับพื้นร้อนจัดเป็นเวลานาน อาจเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เสี่ยงระเบิดหรือแตกลายงาได้

คำแนะนำ: หากจำเป็นต้องจอดกลางแดด ควรเลือกพื้นที่ร่มหรือพื้นคอนกรีตที่ไม่อมความร้อนมากนัก

อย่าลืมเช็กลมยาง… ตอนยางเย็นเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญจาก MoneySuperMarket แนะนำว่าการเช็กลมยางควรทำขณะยางยังเย็น เนื่องจากความร้อนจะทำให้แรงดันลมเพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งอาจทำให้การวัดผิดเพี้ยน

     ย้ำว่า “ห้ามลดลมยางหลังจากที่เห็นแรงดันสูงขึ้นเพราะความร้อน” เพราะนั่นเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับคำแนะนำความปลอดภัยของสหราชอาณาจักร

 

สรุป: ปกป้องยางรถในหน้าร้อน

  • จอดโดยล้อตรงทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการจอดบนพื้นที่เอียงหรือสูงไม่เท่ากัน
  • ไม่จอดบนโลหะหรือแอสฟัลต์ร้อนจัด
  • เช็กลมยางตอนเช้าหรือเมื่อยางเย็นเท่านั้น

ทั้งนี้ หากยางเกิดความเสียหายจากการสึกหรอหรือการละเลย การเคลมประกันอาจไม่ครอบคลุมค่าเสียหาย ดังนั้นการดูแลยางให้ดีตั้งแต่แรกจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 23 Aug, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.