×
ผลการค้นหา : รถกระบะ
แสดง รายการ

ผู้หญิงขับรถและคนขับรถควรรู้ วิธีเช็กและเติมลมยางที่ถูกต้อง ขอบประตูมีคำตอบ

การขับรถอย่างปลอดภัยเริ่มต้นจากการดูแลรถที่ถูกต้อง และเรื่อง "การเติมลมยาง" ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ผู้หญิงและทุกคนที่ขับรถควรรู้ แม้ดูเป็นเรื่องง่ายแต่ส่งผลต่อความปลอดภัยโดยตรง การเติมลมยางที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ปัญหาหลายอย่าง ทั้งอุบัติเหตุ ยางระเบิด หรือการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น

 

เปิดคู่มือฉบับย่อที่ผู้หญิงขับรถควรรู้ โดยเน้นที่ทักษะการเช็กและเติมลมยางที่คุณสามารถทำได้เองอย่างง่ายดาย เพื่อความปลอดภัยสูงสุดตลอดการเดินทาง

 

1. ทริคสำคัญ: ค่าเติมลมยาง กี่ปอนด์ (PSI =Pound Per Square Inch) ดูที่ไหน?

หลายคนมีความเข้าใจผิดว่าควรเติมลมยางตามที่ช่างแนะนำ หรือตามค่าทั่วไป แต่ความจริงแล้ว รถยนต์แต่ละคันมี "ค่ามาตรฐาน" ที่เหมาะสมที่สุดจากโรงงานผู้ผลิต ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณมาแล้วว่าทำให้รถเกาะถนน ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันที่สุด

 

วิธีค้นหาค่าเติมลมยางที่ถูกต้องที่สุดนั้นง่ายนิดเดียว คือให้คุณเปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วมองหา "สติกเกอร์ค่าแรงดันลมยางที่ขอบประตู" สติกเกอร์จะอยู่บริเวณสันประตู (Door Jamb) หรือเสา B ของตัวรถ ซึ่งจะระบุค่าที่ผู้ผลิตแนะนำ โดยใช้หน่วยเป็น PSI หรือ Bar

 

บนสติกเกอร์จะมีการแยกค่าลมยางสำหรับยางหน้าและยางหลัง (มักเติมไม่เท่ากัน) รวมถึงแยกค่าสำหรับการบรรทุกปกติ (ผู้โดยสารน้อย) และการบรรทุกเต็มที่ (ผู้โดยสารเต็มคันหรือมีสัมภาระหนัก) หากคุณไม่สามารถหาสติกเกอร์ที่ประตูได้ ค่านี้จะระบุอยู่ใน คู่มือประจำรถ (Owner's Manual) เสมอ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุด

 

2. ค่าแรงดันลมยางโดยประมาณตามประเภทรถ

แม้ว่าคุณควรยึดค่าจากสติกเกอร์ข้างประตูเป็นหลัก แต่ข้อมูลโดยประมาณนี้จะช่วยให้คุณประเมินได้เบื้องต้นว่ารถของคุณควรเติมลมยางอยู่ในช่วงใด ซึ่งค่าแรงดันลมยางจะแตกต่างกันไปตามประเภทของรถ ดังนี้:

  • รถยนต์นั่งขนาดเล็ก/อีโคคาร์: ค่าโดยประมาณอยู่ที่ 28 - 34 PSI โดยเน้นความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
  • รถ SUV: รถที่มีน้ำหนักมากกว่า ควรเติมลมยางที่ประมาณ 30 - 36 PSI ซึ่งสูงกว่ารถเก๋งเล็กน้อย เพื่อรองรับน้ำหนักตัวรถ
  • รถกระบะ: โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 35 -40 PSI และล้อหลังควรเติมมากกว่าล้อหน้าเล็กน้อยเพื่อรองรับน้ำหนักบรรทุกในอนาคต หากบรรทุกของหนักมาก ควรเพิ่มลมยางอีก 2-3 PSI

3. สิ่งที่ผู้หญิงขับรถควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ "ลมยาง"

คุณควรตรวจเช็กลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือก่อนการเดินทางไกลทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าแรงดันลมยางอยู่ในเกณฑ์ที่ถูกต้องเสมอ ควรเติมลมยางในขณะที่ "ยางเย็น" (รถจอดนิ่งหรือวิ่งมาไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร) เพราะเมื่อยางร้อน แรงดันลมจะสูงขึ้น ทำให้ค่าที่วัดได้ไม่แม่นยำ

 

การ เติมลมยางอ่อนไป จะทำให้โครงสร้างยางเสียหาย กินน้ำมันเชื้อเพลิง และควบคุมรถได้ยาก

 

ส่วนการ เติมลมยางแข็งไป จะทำให้รถกระด้าง ขาดความยืดหยุ่นในการรับแรงกระแทก และเสี่ยงต่อยางระเบิดเมื่อเจอพื้นถนนขรุขระ ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่มาก่อนเสมอ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 25 Nov, 2025
อ่านต่อ

     Toyota Hilux Travo 2026 (โตโยต้า ไฮลักซ์ ทราโว 2026) เปิดตัวและเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่กับรถกระบะขนาด 1 ตัน ของ Toyota แม้จะพัฒนาแบบต่อยอดบนโครงสร้างตัวถังเดิม แต่จัดระเบียบไลน์อัพพร้อมชื่อเรียกในแต่ละเกรดใหม่ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม Standard Cab, กลุ่มยกสูง Prerunner & 4TREX และกลุ่มที่เน้นไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง Overland ซึ่งมาแทน Revo Rocco เดิม ทุกกลุ่ม-ทุกเกรดมีเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร เทอร์โบ ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จากเดิมใช้ 4X4 เปลี่ยนเป็นชื่อ 4TREX นอกจากนี้ ยังเพิ่มทางเลือกรถกระบะไฟฟ้าล้วน BEV ด้วย Hilux Travo-e เจาะกลุ่มองค์กร แต่ยังขาดตระกูล GR ที่เรายังไม่ได้เห็นในการเปิดตัวครั้งนี้

 

Toyota Hilux Travo 2026 ดีไซน์ภายนอก

     Toyota Hilux Travo 2026 ได้รับการเปลี่ยนดีไซน์หน้า-หลังใหม่ เพิ่มสไตลิ่งแข็งแกร่งและโมเดิร์นมากขึ้นด้วยการเพิ่มเหลี่ยมสันเข้าไปในงานออกแบบ โดยชื่อใหม่ Travo มาจากการผสมคำระหว่าง Travel กับ Voyage หมายถึงการเดินทาง มีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ

  • Standard Cab 2 ประตู ตอนเดียวยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ (4TREX)
  • Smart Cab 2 ประตู ตอนครึ่งแค็บเปิดได้ มีทั้งยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Prerunner และยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ 4TREX
  • Double Cab 4 ประตู สองตอน มีทั้งยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Prerunner และยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ 4TREX เสริมด้วยรุ่น Overland เพิ่มการตกแต่งสำหรับไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง Overland

     โดย Toyota Hilux Travo Overland นั้นมาแทนที่ Hilux Revo Rocco มีเฉพาะตัวถัง Double Cab 4 ประตู แต่แบ่งเป็น Prerunner ยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4TREX ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มการตกแต่งภายนอกมากกว่า Prerunner และ 4TREX มาตรฐาน เช่น สปอร์ตบาร์กระบะท้าย ล้ออัลลอยลายต่างกัน

Toyota Hilux Travo 2026 ดีไซน์ภายใน

     สำหรับภายใน Toyota Hilux Travo 2026 ได้รับการออกแบบใหม่ โดยเฉพาะแผงคอนโซลหน้าที่ปรับแนวคิดลบความโค้งมนมาเล่นกับรูปทรงเรขาคณิต ใช้งานง่าย จริงจัง ตรงไปตรงมา ทุกรุ่นใช้ห้องโดยสารโทนสีดำ เบาะหุ้มผ้า Caretex (ยกเว้น Smart Cab เกียร์ธรรมดาเป็น PVC) และตั้งแต่เกรด Premium ขึ้นไป ตกแต่งคอนโซลบุด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่ม พวงมาลัยหุ้มหนัง มีเบรกมือไฟฟ้า ที่ชาร์จสมาร์ตโฟนไร้สาย ระบบเสียงหน้าจอสัมผัส 12.3 นิ้ว ส่วนเกรด Overland ได้เบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ Softex แทนเบาะผ้า ฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มาตรวัดและจออินโฟเทนเมนต์ 12.3 นิ้ว แอร์อัตโนมัติแยกปรับ 2 โซน ช่องเก็บความเย็น Coolbox ขณะที่ Toyota Hilux Travo-e ก็จะได้อุปกรณ์มากพอ ๆ กับ Overland

Toyota Hilux Travo 2026 เครื่องยนต์และสมรรถนะ

     รถกระบะ Toyota Hilux ที่พ่วงด้วยชื่อ Travo ทั้งหมดจะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ รหัส 1GD-FTV เป็นพื้นฐานทั้งหมด แต่รุ่นเกียร์ธรรมดา (MT) และเกียร์อัตโนมัติ (AT) จะมีสมรรถนะต่างกัน

เกียร์ธรรมดา

     กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,400-3,400 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 6 สปีด

เกียร์อัตโนมัติ

     กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด

          ในส่วนของ Toyota Hilux Travo-e ที่ใช้เทคโนโลยีไฟฟ้าล้วน (BEV) ติดตั้งมอเตอร์ 1 ตัวบนเพลาหน้า กำลัง 112 แรงม้า แรงบิด 205.5 นิวตันเมตร และ 1 ตัวบนเพลาหลังกำลัง 176 แรงม้า แรงบิด 268.6 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 59.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ติดตั้งตรงกลางระหว่างคานแชสซีส์ยึดด้วยซับเฟรม ระยะทางวิ่งสูงสุด 315 กิโลเมตร (NEDC) รองรับ Fast Charge กำลังสูงสุด 125 กิโลวัตต์

Toyota Hilux Travo 2026 เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย

     ทางด้านระบบความปลอดภัย Toyota Hilux Travo รุ่น Overland กับ Travo-e จะมาพร้อมระบบช่วยขับขี่ เช่น ระบบรักษาความเร็ว Dynamic Radar Cruise Control ทำงานได้ทุกย่านความเร็ว กล้องมองภาพรอบคัน เตือนการจราจรขณะถอย เตือนรถออกนอกเลน (พร้อมดึงกลับในรุ่น Overland Plus) แต่ Travo-e ไม่มีระบบนี้และจะได้ระบบควบคุมรถให้วิ่งกลางเลน

     ส่วนระบบความปลอดภัยพื้นฐานตัวถัง Standard Cab และ Smart Cab ติดตั้งถุงลมนิรภัย 3 จุด (รวมถึงตัวถัง Double Cab ในรุ่น Prerunner กับ 4TREX ขณะที่ Overland Plus กับ Travo-e ตัวถัง Double Cab จะมีทั้งหมด 7 จุด ทุกรุ่นมีระบบเตือนมุมอับสายตา กล้องมองหลัง ระบบควบคุมการทรงตัว ควบคุมการส่ายเมื่อพ่วงท้าย เป็นต้น

 

Toyota Hilux Travo 2026 มีกี่สี

     Toyota Hilux Travo แต่ละไลน์อัพจะมีสีตัวถังให้เลือกต่างกัน ดังนี้

Toyota Hilux Travo Standard Cab

  • สีเทา Ash
  • สีเงิน Silver Metallic
  • สีขาว Super White II

Toyota Hilux Travo Prerunner & 4TREX

  • สีน้ำตาล Sulfur Metallic
  • สีดำ Attitude Black Mica
  • สีเทา Ash
  • สีเงิน Silver Metallic
  • สีขาว Super White II

Toyota Hilux Travo Overland

  • สีน้ำตาล Sulfur Metallic
  • สีดำ Attitude Black Mica
  • สีเทา Ash
  • สีขาว Platinum White Pearl Mica

Toyota Hilux Travo 2026 ราคาจำหน่าย

Toyota Hilux Travo Standard Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX ราคา 767,000 บาท
  • รุ่น 2.8 4TREX เกียร์ออโต้  ราคา 819,000 บาท

Toyota Hilux Travo Prerunner

     Toyota Hilux Travo Prerunner แบ่งเป็น 2 ตัวถัง คือ Smart Cab และ Double Cab

Smart Cab

  • รุ่น 2.8 Smart ราคา 789,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Smart เกียร์ออโต้ ราคา 839,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium ราคา 859,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium เกียร์ออโต้ ราคา 909,000 บาท

Double Cab

  • รุ่น 2.8 Smart ราคา 895,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Smart เกียร์ออโต้ ราคา 945,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium ราคา 949,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Premium เกียร์ออโต้ ราคา 999,000 บาท

Toyota Hilux Travo 4TREX

          Toyota Hilux Travo 4TREX แบ่งเป็น 2 ตัวถัง คือ Smart Cab และ Double Cab

Smart Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX Premium ราคา 984,000 บาท
  • รุ่น 2.8 4TREX Premium เกียร์ออโต้ ราคา 1,029,000 บาท

Double Cab

  • รุ่น 2.8 4TREX Premium ราคา 1,090,000 บาท

Toyota Hilux Travo Overland

  • รุ่น 2.8 Overland ราคา 1,102,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland เกียร์ออโต้ ราคา 1,102,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland 4TREX เกียร์ออโต้ ราคา 1,292,000 บาท
  • รุ่น 2.8 Overland Plus 4TREX เกียร์ออโต้ ราคา 1,366,000 บาท

Toyota Hilux Travo-e

  • รุ่น Double Cab 4TREX ราคา 1,491,000 บาท

สรุปความน่าสนใจของ Toyota Hilux Travo 2026

          สำหรับใครที่เชื่อมั่นรถกระบะตระกูล Hilux ของ Toyota อยู่แล้ว ในยุคของ Travo มีการปล่อยออปชั่นหรือกั๊กน้อยลง (ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์และการแข่งขันก็ตามที) การจัดระเบียบรุ่นย่อยใหม่ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น ในภาพรวมราคาปรับขึ้นเล็กน้อยแลกกับอุปกรณ์มาตรฐานที่มากกว่าเดิม

          ขณะเดียวกันทุกรุ่นได้เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร 204 แรงม้า เท่ากันหมด (หากไม่นับ Travo-e) แต่ประหยัดกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร โดยเทียบระหว่าง Toyota Hilux Travo 2.8 Prerunner ตัวถัง Double Cab เกียร์ออโต้ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 14.5 กิโลเมตร/ลิตร (EcoSticker) กับ Toyota Hilux Revo 2.4 Prerunner เกียร์ออโต้ ที่ทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ 13.7 กิโลเมตร/ลิตร (EcoSticker)

          อย่างไรก็ตาม Toyota Hilux Travo ใหม่ จะยังไม่มีรุ่นความสูงมาตรฐานอย่าง Z Edition ในตอนนี้ รวมถึงตระกูล GR ซึ่งคาดว่าตามมาในอนาคต ส่วนตลาดรถกระบะเชิงพาณิชย์ Toyota ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ยังมอบให้ Hilux Revo รับหน้าที่ควบคู่กับ Hilux Champ ส่วนเรื่องดีไซน์ถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล รอดูผลจากยอดขายว่าจะทิ้งห่าง Isuzu D-Max ได้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

 

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 15 Nov, 2025
อ่านต่อ

สัญญาณเตือนและอาการของเทอร์โบพังในรถ Isuzu D-Max

การที่เทอร์โบพังเป็นปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรงสำหรับรถดีเซลที่มีระบบอัดอากาศ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์โดยรวมได้ หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรนำรถเข้าตรวจสอบโดยช่างผู้เชี่ยวชาญทันที

1. เสียงผิดปกติจากเทอร์โบ

  • เสียงหอนดังผิดปกติ (Whining Sound): เป็นสัญญาณที่พบบ่อยที่สุดและชัดเจนที่สุด อาการนี้เกิดจากแกนเทอร์โบหลวม ทำให้ใบพัดเสียดสีกับโข่งหรือปากเทอร์โบ
  • เสียงวี้ดแหลม (Siren Sound): เสียงคล้ายไซเรนที่ดังขึ้นตามรอบเครื่องยนต์ เป็นสัญญาณว่าแบริ่งในแกนเทอร์โบเริ่มสึกหรออย่างรุนแรง

2. ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ลดลง

  • รถไม่มีกำลัง อัตราเร่งตก (Loss of Power): สังเกตได้ว่ารถอืดลงอย่างชัดเจน เร่งไม่ขึ้นเหมือนเดิม โดยเฉพาะในรอบเครื่องยนต์ที่เทอร์โบควรจะทำงาน (รอบสูง) อาการนี้เกิดจากการที่เทอร์โบไม่สามารถสร้างแรงดันอากาศได้เพียงพอ
  • ควันไอเสียเปลี่ยนไป:
    • ควันดำ (Black Smoke): เกิดจากส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิงไม่สมดุล คือมีน้ำมันมากเกินไปแต่อากาศน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากเทอร์โบไม่สามารถอัดอากาศได้เต็มที่
    • ควันขาว/ควันฟ้า (White/Blue Smoke): เป็นอาการที่รุนแรงและอันตราย บ่งบอกว่ามีน้ำมันเครื่องรั่วเข้าไปในห้องเผาไหม้ สาเหตุหลักคือซีลแกนเทอร์โบชำรุด ทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันเครื่องอย่างผิดปกติ

3. การรั่วซึมของน้ำมันเครื่อง

  • น้ำมันเครื่องหาย/ลดลงผิดปกติ: หากต้องเติมน้ำมันเครื่องบ่อยกว่าปกติ โดยที่ไม่มีรอยรั่วซึมที่ชัดเจนภายนอกเครื่องยนต์ มีความเป็นไปได้สูงที่น้ำมันเครื่องจะถูกเผาไหม้ไปกับไอเสียผ่านทางเทอร์โบ
  • คราบน้ำมันในท่ออินเตอร์คูลเลอร์: หากถอดท่อที่ต่อจากเทอร์โบไปยังอินเตอร์คูลเลอร์แล้วพบว่ามีคราบน้ำมันเครื่องเยิ้ม แสดงว่าซีลเทอร์โบชำรุดและน้ำมันเครื่องรั่วซึม

วิธีการตรวจเช็คเบื้องต้นด้วยตัวเอง

การตรวจเช็คด้วยตัวเองควรทำด้วยความระมัดระวังและเมื่อเครื่องยนต์เย็นลงแล้วเท่านั้น:

  1. ถอดท่ออากาศที่ต่อเข้ากับปากเทอร์โบฝั่งไอดี (ฝั่งอากาศเข้า):
    • ตรวจเช็คใบพัด: ใช้ไฟฉายส่องดูว่าใบพัดมีร่องรอยการบิ่น แหว่ง หรือคดงอหรือไม่ หากพบว่ามีแสดงว่าเทอร์โบชำรุด
    • โยกแกนเทอร์โบ: ใช้มือจับที่แกนใบพัดแล้วลองโยกดูทั้งแนวขึ้น-ลง และหน้า-หลัง หากมีการขยับมากผิดปกติ แสดงว่าแกนหลวม
    • หมุนแกนเทอร์โบ: ลองใช้นิ้วหมุนใบพัดดู ควรจะหมุนได้อย่างราบรื่น หากรู้สึกฝืดหรือมีเสียงครืดคราด แสดงว่าแกนเทอร์โบมีปัญหา
  2. ตรวจเช็คคราบน้ำมัน:
    • ตรวจสอบคราบน้ำมันในท่อและรอบๆ โข่งเทอร์โบ หากมีคราบน้ำมันเยิ้มเป็นจำนวนมาก แสดงว่าซีลเทอร์โบรั่ว

คำแนะนำ: หากพบอาการผิดปกติใดๆ ข้างต้น ควรหยุดใช้รถและนำรถเข้าอู่ซ่อมหรือศูนย์บริการที่เชี่ยวชาญทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจลุกลามไปยังเครื่องยนต์ ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงขึ้นมาก

 

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 15 Sep, 2025
อ่านต่อ

     การเลือกเทอร์โบชาร์จเจอร์สำหรับรถกระบะ Toyota Revo เพื่อเปลี่ยนใหม่ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้สมรรถนะที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ คู่มือนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

 

1. ทำความเข้าใจประเภทของเทอร์โบสำหรับ Toyota Revo

เทอร์โบของ Toyota Revo มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับรุ่นและปีที่ผลิต โดยหลักๆ แล้วแบ่งได้ดังนี้:

  • เทอร์โบเดิม (Standard Turbo): เป็นเทอร์โบที่ติดตั้งมากับรถจากโรงงาน เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ไม่ต้องการการดัดแปลงเครื่องยนต์เพิ่มเติม และให้สมรรถนะที่สมดุลทั้งด้านพละกำลังและการประหยัดน้ำมัน
  • เทอร์โบอัปเกรด (Upgrade Turbo): เป็นเทอร์โบที่ถูกดัดแปลงจากเทอร์โบเดิม เช่น เปลี่ยนใบพัดเป็นแบบ billet (อลูมิเนียมเกรดพิเศษ) ที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรงกว่า ทำให้เทอร์โบติดบูสต์ได้เร็วขึ้นและรองรับแรงดันบูสต์ที่สูงขึ้นได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มสมรรถนะของรถโดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์มากนัก
  • เทอร์โบโมดิฟาย (Modify Turbo): เป็นเทอร์โบที่ถูกสร้างขึ้นใหม่หรือดัดแปลงอย่างมากเพื่อรองรับกำลังเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น การเปลี่ยนโข่งหลังให้ใหญ่ขึ้น หรือเปลี่ยนขนาดใบพัดใหม่ทั้งหมด เหมาะสำหรับรถที่ต้องการกำลังม้าสูงๆ และมีการปรับจูนเครื่องยนต์อย่างเต็มระบบ (เช่น การรีแมปกล่อง ECU)

2. ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกซื้อ

  • วัตถุประสงค์การใช้งาน:
    • ใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน: หากต้องการเปลี่ยนเพราะของเดิมเสีย และไม่ได้เน้นเรื่องความแรง ควรเลือกเทอร์โบเดิมหรือเทอร์โบเทียบเท่าของเดิม ซึ่งหาซื้อง่ายและราคาไม่แพงมากนัก
    • ต้องการเพิ่มสมรรถนะเล็กน้อย: หากต้องการให้รถขับสนุกขึ้น ตอบสนองได้ดีขึ้น ควรพิจารณาเทอร์โบอัปเกรด ซึ่งจะช่วยให้รถมีกำลังและแรงบิดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยที่ยังคงความทนทานไว้
    • เน้นความแรงสูงสุด (รถแข่ง/รถซิ่ง): หากต้องการกำลังม้าสูงๆ สำหรับการใช้งานหนัก หรือเพื่อการแข่งขัน ควรเลือกเทอร์โบโมดิฟายที่ออกแบบมาสำหรับแรงม้าสูงโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม การติดตั้งเทอร์โบประเภทนี้จำเป็นต้องมีการอัปเกรดชิ้นส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังร่วมด้วย
  • รุ่นเครื่องยนต์ (2.4L หรือ 2.8L):
  • เครื่องยนต์ 2.4L (2GD): เทอร์โบเดิมของรุ่นนี้มีขนาดเล็กกว่ารุ่น 2.8L หากต้องการเพิ่มความแรง การเปลี่ยนไปใช้เทอร์โบของรุ่น 2.8L (1GD) หรือเทอร์โบอัปเกรดที่ออกแบบมาสำหรับ 2.4L จะช่วยให้รถมีกำลังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • เครื่องยนต์ 2.8L (1GD): เทอร์โบเดิมของรุ่นนี้มีขนาดใหญ่กว่าและเป็นแบบลูกปืน (Ball Bearing) ซึ่งช่วยให้การตอบสนองดีกว่า หากต้องการเพิ่มความแรง อาจพิจารณาการอัปเกรดใบพัดหรือเทอร์โบโมดิฟาย
  • งบประมาณ:
  • เทอร์โบเดิม/เทียบเท่า: มีราคาถูกที่สุด
  • เทอร์โบอัปเกรด/โมดิฟาย: มีราคาสูงขึ้นตามคุณภาพและสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น
  • ความเข้ากันได้: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเทอร์โบใหม่ที่คุณจะซื้อสามารถติดตั้งแทนของเดิมได้โดยไม่ต้องดัดแปลงท่อทางเดินอากาศหรือท่อไอเสียมากนัก หากเลือกเทอร์โบที่มีขนาดแตกต่างจากเดิมมาก อาจต้องมีการดัดแปลงระบบท่อไอดีและท่อไอเสีย ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายและเวลาในการติดตั้ง

3. อาการที่บ่งบอกว่าเทอร์โบเสีย

ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเทอร์โบ ควรสังเกตอาการเหล่านี้เพื่อยืนยันว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้ว:

  • เสียงหวีดหอนดังผิดปกติ: เสียงคล้ายไซเรนหรือเสียงหวีดแหลมๆ ขณะที่เทอร์โบกำลังทำงาน
  • ควันดำหรือควันขาว: เกิดจากการที่น้ำมันเครื่องรั่วเข้าไปในระบบไอเสียและถูกเผาไหม้
  • เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง: แรงอัดอากาศลดลง ทำให้รถอืดและเร่งไม่ขึ้น
  • มีน้ำมันเครื่องรั่วซึม: บริเวณแกนเทอร์โบหรือท่อทางเดินน้ำมัน
  • ใบพัดเทอร์โบเสียหาย: อาจมีอาการบิ่น แตก หรือแกนเทอร์โบหลวม ทำให้เกิดเสียงผิดปกติและสมรรถนะลดลง

4. คำแนะนำเพิ่มเติม

  • ปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาอู่ซ่อมรถที่มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ดีเซลและเทอร์โบโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ
  • เลือกซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ: ควรซื้อเทอร์โบจากตัวแทนจำหน่ายหรือร้านค้าที่มีชื่อเสียงและมีบริการหลังการขายที่ดี เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องสินค้าไม่ได้มาตรฐานหรือของปลอม
  • การปรับจูน (Remap ECU): การเปลี่ยนเทอร์โบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีสเปกที่แตกต่างจากเดิม ควรทำการรีแมปกล่อง ECU ใหม่ เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานร่วมกับเทอร์โบใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ในระยะยาว

 

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 09 Sep, 2025
อ่านต่อ

     ใครที่ใช้รถบ่อยๆ คงจะสังเกตเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นเหมือนกับแหล่งพลังงานของรถในการขับเคลื่อนไป แต่ถ้าอยู่ดีๆ ถ้าเกิดไฟเตือนขึ้นหลายคนก็มักจะไปเติมทันที แล้วถ้าไม่เติมปล่อยไว้ก่อน ทำแบบนี้บ่อยๆ ผลเสียที่ได้มานั้นอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด วันนี้ เราจะพาคุณมาดู 3 คำเตือน หากไฟเตือนเติมน้ำมันขึ้นบ่อยแล้วไม่เติม อาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

3 คำเตือนหากคุณปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นบ่อยๆ 

 

1. ความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์

  • ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มติ๊ก) พังก่อนเวลาอันควร นี่คือผลกระทบที่ร้ายแรงและพบบ่อยที่สุด ปั๊มติ๊กซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ดูดน้ำมันจากถังส่งไปยังเครื่องยนต์ จะแช่อยู่ในถังน้ำมัน โดยอาศัยน้ำมันเชื้อเพลิงในการ หล่อลื่นและระบายความร้อน

 

  • เมื่อน้ำมันหมด: ปั๊มติ๊กจะดูดอากาศเข้ามาแทน ทำให้ตัวปั๊มทำงานหนักขึ้นในสภาพที่แห้งและเกิดความร้อนสูงสะสม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยครั้ง จะทำให้ปั๊มเสื่อมสภาพและเสียหายถาวรได้ ซึ่งค่าเปลี่ยนปั๊มติ๊กนั้นมีราคาสูง

  • ระบบเชื้อเพลิงอุดตัน ที่ก้นถังน้ำมันมักจะมีตะกอนหรือสิ่งสกปรกขนาดเล็กตกค้างอยู่ เมื่อคุณขับรถจนน้ำมันใกล้หมด ปั๊มติ๊กจะดูดเอาตะกอนเหล่านี้เข้าไปในระบบด้วย

 

  • ผลที่ตามมา: ตะกอนจะเข้าไปอุดตันที่ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และอาจเล็ดลอดไปถึง หัวฉีด ทำให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เครื่องยนต์สะดุด กำลังตก และหากอุดตันรุนแรงอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้างหรือเปลี่ยนหัวฉีด

  • สร้างความเสียหายให้แคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (Catalytic Converter) เมื่อน้ำมันเหลือน้อย การจ่ายน้ำมันไปยังเครื่องยนต์อาจไม่สม่ำเสมอ ทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการสะดุดหรือ "Misfire" (การจุดระเบิดผิดจังหวะ) ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่เผาไหม้ถูกปล่อยออกไปทางท่อไอเสีย เมื่อไปเจอกับความร้อนสูงของแคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (ท่อแคท) อาจทำให้ชิ้นส่วนภายในหลอมละลายและเสียหายได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่มีราคาสูงมาก

 

2. ปัญหาเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

สำหรับคนที่ใช้รถกระบะหรือรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล การปล่อยให้น้ำมันหมดถังจะสร้างปัญหาที่ยุ่งยากกว่ารถเบนซิน เนื่องจากอากาศจะเข้าไปในระบบทางเดินน้ำมัน ทำให้เกิด "ฟองอากาศ" ในระบบ เมื่อเติมน้ำมันแล้วจะ สตาร์ทรถไม่ติด จนกว่าจะทำการ ไล่ลม (Bleeding) ออกจากระบบให้หมดก่อน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญหรือต้องเรียกช่างมาจัดการให้


 

3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายแฝง

นอกเหนือจากความเสียหายของตัวรถแล้ว ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ตามมาอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น

 

  • เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ: การที่รถดับกลางถนน, บนทางด่วน หรือบริเวณทางโค้ง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้

  • อันตรายจากการจอดในที่เปลี่ยว: หากรถเสียในเวลากลางคืนหรือในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

  • เสียเวลาและค่าใช้จ่าย: คุณจะต้องเสียเวลาในการรอความช่วยเหลือ และอาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับบริการน้ำมันฉุกเฉิน หรือค่ารถลากไปยังอู่ซ่อมรถ ที่เรียกว่าเสียเยอะมาก

เห็นไหมครับว่า หากคุณไม่เติมน้ำมันตามที่ไฟขึ้นบ่อยๆ ก็อาจจะส่งเสียเยอะกว่าที่คิด ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นถ้าไม่จำเป็นครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

✅IHI TURBO 🇯🇵

✅GARRETT 🇺🇸

✅MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

✅ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

✅คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

✅สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

✅บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

“โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 01 Aug, 2025
อ่านต่อ

     ใครที่ใช้รถบ่อยๆ คงจะสังเกตเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นเหมือนกับแหล่งพลังงานของรถในการขับเคลื่อนไป แต่ถ้าอยู่ดีๆ ถ้าเกิดไฟเตือนขึ้นหลายคนก็มักจะไปเติมทันที แล้วถ้าไม่เติมปล่อยไว้ก่อน ทำแบบนี้บ่อยๆ ผลเสียที่ได้มานั้นอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด วันนี้ เราจะพาคุณมาดู 3 คำเตือน หากไฟเตือนเติมน้ำมันขึ้นบ่อยแล้วไม่เติม อาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

3 คำเตือนหากคุณปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นบ่อยๆ

 1. ความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์

  • ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มติ๊ก) พังก่อนเวลาอันควร นี่คือผลกระทบที่ร้ายแรงและพบบ่อยที่สุด ปั๊มติ๊กซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ดูดน้ำมันจากถังส่งไปยังเครื่องยนต์ จะแช่อยู่ในถังน้ำมัน โดยอาศัยน้ำมันเชื้อเพลิงในการ หล่อลื่นและระบายความร้อน
    • เมื่อน้ำมันหมด: ปั๊มติ๊กจะดูดอากาศเข้ามาแทน ทำให้ตัวปั๊มทำงานหนักขึ้นในสภาพที่แห้งและเกิดความร้อนสูงสะสม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยครั้ง จะทำให้ปั๊มเสื่อมสภาพและเสียหายถาวรได้ ซึ่งค่าเปลี่ยนปั๊มติ๊กนั้นมีราคาสูง
  • ระบบเชื้อเพลิงอุดตัน ที่ก้นถังน้ำมันมักจะมีตะกอนหรือสิ่งสกปรกขนาดเล็กตกค้างอยู่ เมื่อคุณขับรถจนน้ำมันใกล้หมด ปั๊มติ๊กจะดูดเอาตะกอนเหล่านี้เข้าไปในระบบด้วย
    • ผลที่ตามมา: ตะกอนจะเข้าไปอุดตันที่ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และอาจเล็ดลอดไปถึง หัวฉีด ทำให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เครื่องยนต์สะดุด กำลังตก และหากอุดตันรุนแรงอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้างหรือเปลี่ยนหัวฉีด
  • สร้างความเสียหายให้แคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (Catalytic Converter) เมื่อน้ำมันเหลือน้อย การจ่ายน้ำมันไปยังเครื่องยนต์อาจไม่สม่ำเสมอ ทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการสะดุดหรือ "Misfire" (การจุดระเบิดผิดจังหวะ) ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่เผาไหม้ถูกปล่อยออกไปทางท่อไอเสีย เมื่อไปเจอกับความร้อนสูงของแคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (ท่อแคท) อาจทำให้ชิ้นส่วนภายในหลอมละลายและเสียหายได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่มีราคาสูงมาก

2. ปัญหาเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

สำหรับคนที่ใช้รถกระบะหรือรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล การปล่อยให้น้ำมันหมดถังจะสร้างปัญหาที่ยุ่งยากกว่ารถเบนซิน เนื่องจากอากาศจะเข้าไปในระบบทางเดินน้ำมัน ทำให้เกิด "ฟองอากาศ" ในระบบ เมื่อเติมน้ำมันแล้วจะ สตาร์ทรถไม่ติด จนกว่าจะทำการ ไล่ลม (Bleeding) ออกจากระบบให้หมดก่อน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญหรือต้องเรียกช่างมาจัดการให้

3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายแฝง

นอกเหนือจากความเสียหายของตัวรถแล้ว ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ตามมาอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น

  • เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ: การที่รถดับกลางถนน, บนทางด่วน หรือบริเวณทางโค้ง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้
  • อันตรายจากการจอดในที่เปลี่ยว: หากรถเสียในเวลากลางคืนหรือในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
  • เสียเวลาและค่าใช้จ่าย: คุณจะต้องเสียเวลาในการรอความช่วยเหลือ และอาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับบริการน้ำมันฉุกเฉิน หรือค่ารถลากไปยังอู่ซ่อมรถ ที่เรียกว่าเสียเยอะมาก

     เห็นไหมครับว่า หากคุณไม่เติมน้ำมันตามที่ไฟขึ้นบ่อยๆ ก็อาจจะส่งเสียเยอะกว่าที่คิด ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นถ้าไม่จำเป็นครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sun 22 Jun, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.