×
ผลการค้นหา : รถกระบะ
แสดง รายการ

     ใครที่ใช้รถบ่อยๆ คงจะสังเกตเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นเหมือนกับแหล่งพลังงานของรถในการขับเคลื่อนไป แต่ถ้าอยู่ดีๆ ถ้าเกิดไฟเตือนขึ้นหลายคนก็มักจะไปเติมทันที แล้วถ้าไม่เติมปล่อยไว้ก่อน ทำแบบนี้บ่อยๆ ผลเสียที่ได้มานั้นอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด วันนี้ เราจะพาคุณมาดู 3 คำเตือน หากไฟเตือนเติมน้ำมันขึ้นบ่อยแล้วไม่เติม อาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

3 คำเตือนหากคุณปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นบ่อยๆ 

 

1. ความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์

  • ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มติ๊ก) พังก่อนเวลาอันควร นี่คือผลกระทบที่ร้ายแรงและพบบ่อยที่สุด ปั๊มติ๊กซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ดูดน้ำมันจากถังส่งไปยังเครื่องยนต์ จะแช่อยู่ในถังน้ำมัน โดยอาศัยน้ำมันเชื้อเพลิงในการ หล่อลื่นและระบายความร้อน

 

  • เมื่อน้ำมันหมด: ปั๊มติ๊กจะดูดอากาศเข้ามาแทน ทำให้ตัวปั๊มทำงานหนักขึ้นในสภาพที่แห้งและเกิดความร้อนสูงสะสม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยครั้ง จะทำให้ปั๊มเสื่อมสภาพและเสียหายถาวรได้ ซึ่งค่าเปลี่ยนปั๊มติ๊กนั้นมีราคาสูง

  • ระบบเชื้อเพลิงอุดตัน ที่ก้นถังน้ำมันมักจะมีตะกอนหรือสิ่งสกปรกขนาดเล็กตกค้างอยู่ เมื่อคุณขับรถจนน้ำมันใกล้หมด ปั๊มติ๊กจะดูดเอาตะกอนเหล่านี้เข้าไปในระบบด้วย

 

  • ผลที่ตามมา: ตะกอนจะเข้าไปอุดตันที่ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และอาจเล็ดลอดไปถึง หัวฉีด ทำให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เครื่องยนต์สะดุด กำลังตก และหากอุดตันรุนแรงอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้างหรือเปลี่ยนหัวฉีด

  • สร้างความเสียหายให้แคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (Catalytic Converter) เมื่อน้ำมันเหลือน้อย การจ่ายน้ำมันไปยังเครื่องยนต์อาจไม่สม่ำเสมอ ทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการสะดุดหรือ "Misfire" (การจุดระเบิดผิดจังหวะ) ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่เผาไหม้ถูกปล่อยออกไปทางท่อไอเสีย เมื่อไปเจอกับความร้อนสูงของแคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (ท่อแคท) อาจทำให้ชิ้นส่วนภายในหลอมละลายและเสียหายได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่มีราคาสูงมาก

 

2. ปัญหาเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

สำหรับคนที่ใช้รถกระบะหรือรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล การปล่อยให้น้ำมันหมดถังจะสร้างปัญหาที่ยุ่งยากกว่ารถเบนซิน เนื่องจากอากาศจะเข้าไปในระบบทางเดินน้ำมัน ทำให้เกิด "ฟองอากาศ" ในระบบ เมื่อเติมน้ำมันแล้วจะ สตาร์ทรถไม่ติด จนกว่าจะทำการ ไล่ลม (Bleeding) ออกจากระบบให้หมดก่อน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญหรือต้องเรียกช่างมาจัดการให้


 

3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายแฝง

นอกเหนือจากความเสียหายของตัวรถแล้ว ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ตามมาอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น

 

  • เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ: การที่รถดับกลางถนน, บนทางด่วน หรือบริเวณทางโค้ง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้

  • อันตรายจากการจอดในที่เปลี่ยว: หากรถเสียในเวลากลางคืนหรือในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

  • เสียเวลาและค่าใช้จ่าย: คุณจะต้องเสียเวลาในการรอความช่วยเหลือ และอาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับบริการน้ำมันฉุกเฉิน หรือค่ารถลากไปยังอู่ซ่อมรถ ที่เรียกว่าเสียเยอะมาก

เห็นไหมครับว่า หากคุณไม่เติมน้ำมันตามที่ไฟขึ้นบ่อยๆ ก็อาจจะส่งเสียเยอะกว่าที่คิด ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นถ้าไม่จำเป็นครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

✅IHI TURBO 🇯🇵

✅GARRETT 🇺🇸

✅MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

✅ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

✅คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

✅สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

✅บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

“โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 01 Aug, 2025
อ่านต่อ

     ใครที่ใช้รถบ่อยๆ คงจะสังเกตเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นเหมือนกับแหล่งพลังงานของรถในการขับเคลื่อนไป แต่ถ้าอยู่ดีๆ ถ้าเกิดไฟเตือนขึ้นหลายคนก็มักจะไปเติมทันที แล้วถ้าไม่เติมปล่อยไว้ก่อน ทำแบบนี้บ่อยๆ ผลเสียที่ได้มานั้นอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด วันนี้ เราจะพาคุณมาดู 3 คำเตือน หากไฟเตือนเติมน้ำมันขึ้นบ่อยแล้วไม่เติม อาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

3 คำเตือนหากคุณปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นบ่อยๆ

 1. ความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์

  • ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มติ๊ก) พังก่อนเวลาอันควร นี่คือผลกระทบที่ร้ายแรงและพบบ่อยที่สุด ปั๊มติ๊กซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ดูดน้ำมันจากถังส่งไปยังเครื่องยนต์ จะแช่อยู่ในถังน้ำมัน โดยอาศัยน้ำมันเชื้อเพลิงในการ หล่อลื่นและระบายความร้อน
    • เมื่อน้ำมันหมด: ปั๊มติ๊กจะดูดอากาศเข้ามาแทน ทำให้ตัวปั๊มทำงานหนักขึ้นในสภาพที่แห้งและเกิดความร้อนสูงสะสม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยครั้ง จะทำให้ปั๊มเสื่อมสภาพและเสียหายถาวรได้ ซึ่งค่าเปลี่ยนปั๊มติ๊กนั้นมีราคาสูง
  • ระบบเชื้อเพลิงอุดตัน ที่ก้นถังน้ำมันมักจะมีตะกอนหรือสิ่งสกปรกขนาดเล็กตกค้างอยู่ เมื่อคุณขับรถจนน้ำมันใกล้หมด ปั๊มติ๊กจะดูดเอาตะกอนเหล่านี้เข้าไปในระบบด้วย
    • ผลที่ตามมา: ตะกอนจะเข้าไปอุดตันที่ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และอาจเล็ดลอดไปถึง หัวฉีด ทำให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เครื่องยนต์สะดุด กำลังตก และหากอุดตันรุนแรงอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้างหรือเปลี่ยนหัวฉีด
  • สร้างความเสียหายให้แคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (Catalytic Converter) เมื่อน้ำมันเหลือน้อย การจ่ายน้ำมันไปยังเครื่องยนต์อาจไม่สม่ำเสมอ ทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการสะดุดหรือ "Misfire" (การจุดระเบิดผิดจังหวะ) ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่เผาไหม้ถูกปล่อยออกไปทางท่อไอเสีย เมื่อไปเจอกับความร้อนสูงของแคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (ท่อแคท) อาจทำให้ชิ้นส่วนภายในหลอมละลายและเสียหายได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่มีราคาสูงมาก

2. ปัญหาเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

สำหรับคนที่ใช้รถกระบะหรือรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล การปล่อยให้น้ำมันหมดถังจะสร้างปัญหาที่ยุ่งยากกว่ารถเบนซิน เนื่องจากอากาศจะเข้าไปในระบบทางเดินน้ำมัน ทำให้เกิด "ฟองอากาศ" ในระบบ เมื่อเติมน้ำมันแล้วจะ สตาร์ทรถไม่ติด จนกว่าจะทำการ ไล่ลม (Bleeding) ออกจากระบบให้หมดก่อน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญหรือต้องเรียกช่างมาจัดการให้

3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายแฝง

นอกเหนือจากความเสียหายของตัวรถแล้ว ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ตามมาอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น

  • เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ: การที่รถดับกลางถนน, บนทางด่วน หรือบริเวณทางโค้ง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้
  • อันตรายจากการจอดในที่เปลี่ยว: หากรถเสียในเวลากลางคืนหรือในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
  • เสียเวลาและค่าใช้จ่าย: คุณจะต้องเสียเวลาในการรอความช่วยเหลือ และอาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับบริการน้ำมันฉุกเฉิน หรือค่ารถลากไปยังอู่ซ่อมรถ ที่เรียกว่าเสียเยอะมาก

     เห็นไหมครับว่า หากคุณไม่เติมน้ำมันตามที่ไฟขึ้นบ่อยๆ ก็อาจจะส่งเสียเยอะกว่าที่คิด ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นถ้าไม่จำเป็นครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sun 22 Jun, 2025
อ่านต่อ

     การขับรถท่องเที่ยวช่วงเทศกาล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเช็กแรงดันลมยางก่อนออกเดินทางเสมอ เพราะน้ำหนักบรรทุกที่เปลี่ยนแปลงไป มีผลทำให้ค่าลมยางที่เหมาะสมเปลี่ยนไปเช่นกัน

 

ขับรถทางไกล เติมลมยางเท่าไหร่ดี?

โดยปกติแล้วเจ้าของรถควรเติมแรงดันลมยางให้ได้ตามที่ระบุไว้บนสติกเกอร์บริเวณเสาฝั่งผู้ขับขี่ โดยลมยางที่แนะนำจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของรถ ดังนี้

 

รถยนต์ขนาดเล็ก : 25 - 30 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว

รถยนต์ขนาดกลางและใหญ่ : 30 - 35 ปอนด์

รถกระบะ (ไม่บรรทุก) : 35 - 38 ปอนด์

รถตู้บรรทุก : 43 - 55 ปอนด์

 

อย่างไรก็ดี หากมีความจำเป็นต้องบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระเต็มคัน ควรเพิ่มแรงดันลมยางที่ล้อคู่หลังขึ้นอีก 2 - 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) เพื่อชดเชยกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จะช่วยลดโอกาสเกิดยางระเบิดขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงได้

 

     นอกจากนี้ เจ้าของรถยังควรตรวจเช็กแรงดันลมยางอะไหล่เผื่อกรณีฉุกเฉินระหว่างทางด้วย โดยปกติแรงดันลมยางที่แนะนำคือ 40 - 50 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เนื่องจากการเก็บยางอะไหล่ทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ลมยางอาจซึมออกทีละน้อย การเติมลมยางมากกว่าปกติจะช่วยให้ยางมีแรงดันที่เหมาะสมเมื่อถึงเวลานำมาใช้งาน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 21 Dec, 2024
อ่านต่อ

     กระบะไฟฟ้าขนาดกลางไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ Isuzu ประกาศเตรียมเปิดตัว D-Max EV ภายในปี 2025 ขณะที่ Toyota ก็มีแผนเปิดตัว Hilux (หรือ Hilux Revo) เวอร์ชันไฟฟ้าล้วนในปี 2026 และล่าสุด Ford ก็ประกาศเตรียมเปิดตัว Ranger EV ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้

 

อันที่จริง Ford ไม่ได้ประกาศเตรียมเปิดตัว Ranger EV ชัดๆ เสียทีเดียว หากแต่ระบุว่ามีแผนเปิดตัวรถกระบะขนาดกลางขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มใหม่ภายในปี 2027 นี้ โดยเน้นจับกลุ่มลูกค้าที่มองหาความคุ้มค่า ระยะทางขับขี่ที่มากกว่า อเนกประสงค์กว่า และรองรับการใช้งานได้หลากหลาย

 

จึงมีความเป็นไปได้สูงว่ารถกระบะรุ่นดังกล่าวก็คือ Ranger ที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน ขณะที่ "แพล็ตฟอร์มใหม่" ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็น Ranger ที่พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มใหม่ทั้งหมด หรือ Ranger EV อาจถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มสำหรับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าโดยเฉพาะก็เป็นได้

 

ก่อนหน้านี้ ฟอร์ตเผยโฉม Ranger PHEV ขุมพลัง Plug-in Hybrid เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยมีกำหนดเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งจะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 EcoBoost ควบคู่กับมอเตอร์และแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางขับขี่ในโหมดไฟฟ้าสูงสุด 45 กม. ทั้งยังมีฟังก์ชัน Pro Power Onboard ที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกได้

 

ส่วนความคืบหน้าของ Ford Ranger EV ต้องรอรายละเอียดกันอีกครั้ง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 11 Sep, 2024
อ่านต่อ

      ไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผมเพิ่งจะนำประเด็นรถยนต์ยกสูงที่ไม่ใช่รถกระบะมาพูดคุยกัน เพราะทำใจแล้วว่าเส้นทางในกทม. เมื่อฝนตกหนัก ยังไงก็ท่วมครับ แต่จะท่วมนานหรือไม่ก็อยู่ที่การระบายน้ำในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหากไล่เรียงดูรถยนต์ไซซ์เล็กที่ไม่ใช่กระบะแต่ขับลุยน้ำท่วมได้ปลอดภัย บอกเลยว่าแทบจะไม่มีเลยในแต่ละโชว์รูม

 

      หรือหากมีก็อาจเป็นรถที่นำมาปรับแต่งด้วยการยกสูงขึ้นมาเอง ซึ่งบางทีมันก็ไม่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน การแก้ปัญหาด้วยการหารถคันที่ 2 เพื่อขับลุยน้ำในวันที่น้ำท่วมในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่อง รวมไปถึงในแต่ละวันเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า วันนี้เส้นทางที่จะขับไปนั้นน้ำจะท่วมหรือไม่

 

      ยิ่งเห็นคลิปเหล่าซูเปอร์คาร์ลุยน้ำก็ยิ่งเสียดายแทน ทำให้สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเลย คือ รถสะเทินน้ำสะเทินบก! ผมคิดไปถึงขั้นนั้นเลยนะครับ (ฮา ๆ) เพราะไหน ๆ จะท่วมแล้วจากรถก็เปลี่ยนเป็นเรือมันเสียเลย อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงหากน้ำท่วมเส้นทาง มันก็คงไม่ได้ท่วมลึกเป็นเมตร หรือจะต้องเปลี่ยนรถเป็นเรือขนาดนั้น

 

      เมื่อ 6 ปีก่อนในงาน “ธรรมศาสตร์วิชาการ” มีการนำเอารถ EV ยี่ห้อหนึ่ง มาดัดแปลงเป็นรถสะเทินน้ำสะเทินบก และทดสอบให้เห็นว่าใช้งานได้จริงมาแล้ว และในงบประมาณการดัดแปลงไม่เกิน 3 แสนบาท แน่นอนครับมันคือผลงานวิชาการที่ต้องปรบมือให้ แต่อย่างที่บอกไป ผมเชื่อว่าคนกรุงต้องการรถที่ขับลุยน้ำมากกว่า

 

      ฉะนั้น “ออปชัน” อะไรที่ค่ายรถที่ทำตลาดในบ้านเราควรจะพิจารณาเพิ่มเติมเข้าไปบ้าง ความเห็นส่วนตัวของผมหากให้คิดแบบรวดเร็วเลย คือ รถทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์คาร์ รถสปอร์ต รถเก๋งซีดานปกติ รวมไปถึงรถที่มีช่วงล่างสูงไล่ระดับขึ้นไปอย่าง SUV, PPV ไปจนถึงรถกระบะ ควรมีระบบช่วงล่างยกสูงอัตโนมัติ!

 

      แน่นอนครับมันคือเรื่องใหญ่แน่นอนหากมีออปชันนี้เพิ่มเข้ามาในรถแต่ละรุ่น และตามมาซึ่งราคาที่สูงลิ่วแน่ ๆ อย่างไรก็ดีมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ เพราะจะว่าไปรถในยุคปัจจุบันบางรุ่น ก็มีระบบที่ว่านี้ติดตั้งมาแล้ว เพียงแต่ว่าจุดประสงค์มันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ขับหนีน้ำท่วมโดยเฉพาะ

 

      รถยุโรปหลาย ๆ รุ่นปัจจุบันใช้โช้กอัปแบบถุงลมที่สามารถปรับระดับความสูงต่ำได้เพื่อสมรรถนะในการขับขี่ บางรุ่นสามารถลดระดับความสูงลงมาได้แทบจะติดพื้นถนนเพื่อเพิ่มดาวน์ฟอร์ซขณะที่รถขับด้วยความเร็ว และสามารถยกช่วงล่างให้สูงขึ้นได้เล็กน้อยหากเจอเส้นทางที่น้ำท่วมไม่ลึกมาก

 

      ที่สำคัญระบบช่วงล่างแบบถุงลมนี้มันก็อยู่ในรถบรรทุกหรือรถโดยสารขนาดใหญ่มานานแล้ว ฉะนั้น คงไม่ใช่ออปชันที่เกินความเป็นจริงหากจะมีใครนำมาติดตั้งในรถยนต์ทั่วไป และยกรถดับช่วงล่างให้สูงพอที่จะหนีน้ำได้ เพราะในการขับลุยน้ำ เราไม่ต้องการเรื่องความเร็ว เราขอแค่ให้ขับผ่านให้ไปให้ได้เท่านั้นเองครับ

 

      ออปชันที่ผมฟุ้งมานี้ อาจะเป็นช่วงล่างแบบถุงลม หรือระบบไฮโดรลิกแบบที่ผมเคยเห็นในรถยี่ห้อ “ซีตรอง” เมื่อหลายปีก่อนก็ได้ครับ คือจะทำอย่างไรก็ได้ให้มันสามารถติดตั้งในรถทุกระดับ ไม่ว่าคุณจะขับรถสูงรถเตี้ยก็รอดปลอดภัยเมื่อเจอน้ำท่วม โดยที่ใช้รถแค่คันเดียวไม่ต้องไปหาซื้อรถคันที่ 2 ให้วุ่นวาย

 

      งานนี้ผมคิดว่าหากค่ายรถไม่ว่าจะเป็นรถแบบใช้เชื้อเพลิง หรือค่ายรถ EV หากมีออปชันกดปุ่มยกสูงติดรถมาด้วย และทำราคาไม่แพงเวอร์จนเกินไป รับรองตอบโจทย์แน่นอน เพราะปัญหาน้ำท่วม อีกร้อยปีก็คงยังแก้กันไม่ได้ ว่าไหมล่ะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 17 May, 2024
อ่านต่อ

     หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าตัวเลขบริเวณแก้มยางบ่งบอกถึงขนาดของยางแต่ละเส้นที่แตกต่างกันออกไป แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมตัวเลขที่แสดงถึงขนาดความกว้างของหน้ายาง ถึงลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

เลขแก้มยางคืออะไร?

     ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจรหัสบนแก้มยางกันก่อนดีกว่า โดยรหัสดังกล่าวจะเป็นชุดตัวเลขที่บ่งบอกถึงขนาดยางแต่ละเส้น จะได้เลือกใส่ให้ตรงกับสเปกของรถแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น "225 / 45 R17"

  • 225 คือ ความกว้างหน้าตัดของยาง มีหน่วยเป็น มม.
  • 45 คือ ซีรี่ย์ขนาดแก้มยาง โดยเป็นค่าความสัมพันธ์ระหว่างความสูงแก้มยางและความกว้างของยาง (ในที่นี้หมายถึง ความสูงแก้มยางคิดเป็น 45% ของความกว้างยาง)
  • R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดีบล Radial
  • 17 คือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ

ทำไมขนาดความกว้างยางต้องลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ?

     หากใครเคยเลือกซื้อยางรถยนต์จะพบว่า ยางรถยนต์ทุกขนาดจะมีความกว้างของยางลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ (เช่น 195, 205, 215,....) โดยเราไม่มีทางพบเห็นยางรถยนต์ที่มีขนาดความกว้างลงท้ายด้วยเลข 0 ได้เลย

     นั่นเป็นเพราะหน่วยงานที่เรียกว่า ETRTO หรือ European Tyre & Rim Technical Organization ตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1964 มีหน้าที่กำหนดรูปแบบมาตรฐานของยางสำหรับวางจำหน่ายในยุโรป กำหนดให้ยางที่ใช้สำหรับรถยนต์นั่ง (Passenger Car), รถกระบะ/รถบรรทุกขนาดเล็ก (Light Truck) และรถเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Vehicle) จะต้องมีขนาดความกว้างหน้าตัดยางลงท้ายด้วยเลข 5 เพื่อลดความสับสนกับยางสำหรับรถจักรยานยนต์ (Motorcycle) และรถเพื่อการเกษตร (Agricultural Vehicle) ที่กำหนดให้ลงท้ายด้วยเลข 0 นั่นเอง

     นั่นจึงเป็นสาเหตุว่ายางรถยนต์ทุกเส้นบนโลกจะมีขนาดความกว้างลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ ต่างกับยางรถจักรยานยนต์ที่จะลงท้ายด้วยเลข 0 แทน

เกร็ดความรู้: แม้ว่าสหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร จะใช้ระบบการวัดแบบอิมพีเรียล (Imperial Units) ที่มีหน่วยเป็นนิ้ว, ไมล์, ฟุต และยาร์ด แต่หากพูดถึงขนาดของยางรถยนต์ พวกเขาเลือกที่จะใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตรเหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sun 05 May, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.