×
บทความ :
แสดง รายการ

     ระบบแอร์รถยนต์ ก็ไม่ต่างอะไรกับแอร์บ้านที่อาจมีสิ่งสกปรกสะสมเมื่อผ่านการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน การล้างแอร์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อสุขภาพของผู้โดยสารภายในรถ และยังเป็นการยืดอายุการใช้งานของระบบปรับอากาศอีกด้วย

 

เมื่อไหร่ถึงต้องล้างแอร์รถยนต์?

การล้างแอร์รถยนต์ควรกระทำทุกๆ 1-2 ปี หรือเมื่อผ่านการใช้งานทุกๆ 20,000 กิโลเมตร แต่กรณีมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบแอร์ที่เกิดจากสิ่งสกปรก เช่น มีกลิ่นเหม็นอับจากช่องแอร์ หรือลมแอร์เบากว่าปกติ การล้างแอร์อาจช่วยแก้ปัญหาในเบื้องต้นได้

 

นอกจากนี้ การใช้งานของแต่ละบุคคลอาจส่งผลให้ระบบแอร์รถยนต์ตันเร็วขึ้น เช่น การใช้น้ำหอมระเหยดับกลิ่น, การใช้การบูรในรถ รวมถึงการนำรถไปใช้ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเป็นปริมาณมาก ทางที่ดีควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของระบบแอร์ และรีบดำเนินการแก้ไขก่อนจะลุกลามบานปลายไปจนถึงขั้นต้องเปลี่ยนคอยล์เย็นหรือตู้แอร์ ซึ่งการล้างแอร์อาจช่วยแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้เช่นกัน

 

การล้างแอร์รถยนต์มีทั้งหมดกี่แบบ?

ปัจจุบันการล้างแอร์มี 2 วิธีหลักๆ คือ การล้างแบบถอดตู้และแบบไม่ถอดตู้ โดยแต่ละแบบมีข้อแตกต่างกัน ดังนี้

1. การล้างแอร์แบบถอดตู้

การล้างแอร์รถยนต์แบบถอดตู้เป็นการล้างแบบดั้งเดิมที่นิยมใช้มาอย่างยาวนาน โดยเป็นการถอดรื้อตู้แอร์ทั้งแผงตอยล์เย็นและคอยล์ร้อนออกมาทำความสะอาดด้านนอก ซึ่งสามารถล้างสิ่งสกปรกได้อย่างสะอาดหมดจดแทบทุกส่วน

 

แต่ข้อเสียของการล้างแอร์แบบถอดตู้ คือ ช่างจำเป็นต้องรื้อแผงคอนโซลหน้าออกมาแทบทั้งหมด ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญอย่างยิ่งในการรื้อ เพราะอาจเกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ และงานประกอบกลับอาจไม่เต็ม 100% เมื่อเทียบกับการติดตั้งมาจากโรงงาน อีกทั้งยังจำเป็นต้องทำการแวกคั่มและเติมน้ำยาแอร์ใหม่ มักกินเวลานานอย่างน้อยครึ่งวันจึงจะเสร็จสมบูรณ์

 

2. การล้างแบบไม่ถอดตู้แอร์

การล่างแอร์แบบไม่ถอดตู้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในช่วงหลังๆ โดยอาศัยเครื่องมือพิเศษเพื่อใช้ในการล้างแอร์โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นการสอดกล้องพร้อมกับอุปกรณ์ล้างแอร์เพื่อทำความสะอาดภายในตู้แอร์ จึงไม่จำเป็นต้องรื้อคอนโซลออกมาแต่อย่างใด (หากเทียบเป็นคนก็คล้ายกับการผ่าตัดส่องกล้องนั่นเอง)

 

แต่ข้อเสียของการล้างแอร์แบบไม่ถอดตู้ คือ ความสะอาดในการล้างมักอยู่ที่ประมาณ 70-80% เมื่อเทียบกับการล้างแบบถอดตู้ แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับการใช้งานไปได้อีก 1-2 ปี หรือประมาณ 20,000 กิโลเมตร แถมยังใช้เวลาไม่นานและไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความเสียหายกับแผงคอนโซลในระหว่างการรื้อและประกอบเข้าไปใหม่

 

     รู้แบบนี้แล้วหากใครที่ใช้รถมานานๆ แล้วยังไม่เคยล้างแอร์แล้วล่ะก็ ลองเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับคุณเองเพื่อเป็นการบำรุงรักษาระบบแอร์รถยนต์ให้ใช้ได้อีกนานๆ ครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sun 22 Jun, 2025
อ่านต่อ

     ปัญหาเครื่องยนต์ร้อนจัด หรือโอเวอร์ฮีต เป็นปัญหาที่พบเจอบ่อยในรถยนต์รุ่นเก่า โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อน หรือเมื่อใช้งานรถยนต์หนักๆ หากปล่อยปละละเลยอาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้ ดังนั้นเมื่อพบว่ารถของคุณมีอาการร้อนจัด ควรปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้

 

วิธีแก้รถความร้อนขึ้น ต้องทำยังไงบ้าง

1. จอดรถในที่ปลอดภัยทันที

สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อสังเกตเห็นว่ารถยนต์มีความร้อนสูงขึ้น คือ การหาที่จอดรถที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด อาจจะเป็นข้างทาง หรือปั๊มน้ำมัน จากนั้นจึงดับเครื่องยนต์ทันที การจอดรถในที่ปลอดภัยจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากการที่รถเสียหลักเนื่องจากความร้อนสูง

2. ตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็น

หลังจากจอดรถแล้ว ให้รอสักครู่จนเครื่องยนต์เย็นลงเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดฝากระโปรงรถเพื่อตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ หากระดับน้ำต่ำกว่าขีดกำหนด ให้เติมน้ำหล่อเย็นลงไปตามปริมาณที่กำหนดในคู่มือรถยนต์ ควรระวังอย่าเปิดฝาหม้อน้ำขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อนอยู่ เพราะอาจทำให้เกิดการระเบิดของไอน้ำได้

3. ตรวจสอบพัดลมระบายความร้อน

พัดลมระบายความร้อนมีหน้าที่ระบายความร้อนออกจากเครื่องยนต์ หากพัดลมทำงานไม่ปกติ หรือไม่ทำงานเลย อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์ร้อนเกินไป ให้ตรวจสอบว่าพัดลมทำงานหรือไม่ หากไม่ทำงาน ควรเรียกช่างมาซ่อมแซม

4. เรียกช่างซ่อม

หลังจากทำการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว หากยังไม่สามารถระบุสาเหตุของปัญหาได้ หรือไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง ควรเรียกช่างผู้ชำนาญมาตรวจสอบและซ่อมแซม เพราะปัญหาเรื่องความร้อนของรถยนต์อาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ปั๊มน้ำเสีย หม้อน้ำรั่ว หรือวาล์วน้ำไม่ทำงาน

 

สาเหตุโอเวอร์ฮีตที่พบได้บ่อย

  • น้ำหล่อเย็นหมดหรือมีปริมาณน้อยเกินไป - ทำให้ระบบระบายความร้อนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
  • พัดลมระบายความร้อนเสีย - พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน ทำให้ความร้อนระบายออกจากเครื่องยนต์ได้ไม่ดี
  • หม้อน้ำรั่ว - ทำให้น้ำหล่อเย็นรั่วไหลออกจากระบบ
  • ปั๊มน้ำเสีย - ทำให้น้ำหล่อเย็นหมุนเวียนไม่สะดวก
  • วาล์วน้ำเสีย - ทำให้น้ำหล่อเย็นไม่สามารถไหลเวียนไปยังหม้อน้ำได้
  • สนิมหรือหินปูนในระบบหล่อเย็น - คราบหินปูนหรือสนิมที่เกาะตามท่อและหม้อน้ำจะทำให้การถ่ายเทความร้อนไม่ดี

วิธีป้องกันเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีต

  • ตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นเป็นประจำ - ควรตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นอย่างน้อยเดือนละครั้ง
  • เปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นตามระยะทางที่กำหนด - การเปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดคราบสเกล
  • ตรวจสอบระบบระบายความร้อนเป็นประจำ - ควรตรวจสอบสภาพของสายพาน พัดลม และชิ้นส่วนอื่นๆ ในระบบระบายความร้อนเป็นประจำ
  • ใช้ชิ้นส่วนอะไหล่แท้ - การใช้อะไหล่แท้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าระบบระบายความร้อนจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาเครื่องยนต์ร้อนได้อย่างถูกวิธี และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์ในระยะยาว

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sun 22 Jun, 2025
อ่านต่อ

     มดขึ้นรถ เป็นปัญหาปวดหัวของใครหลายคน เพราะไม่เพียงแต่จะสร้างความรำคาญแก่ผู้ใช้รถ แต่ยังอาจไปทำรังซ่อนอยู่ในอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือกล่องควบคุมระบบไฟฟ้า จนสร้างความเสียหายใหญ่โตได้ บทความนี้ เราขอแนะนำวิธีไล่มดแบบหายขาด เพียงทำตามนี้

 

5 วิธีไล่มดในรถด้วยตัวเอง

1. ทำความสะอาดรถยนต์แบบขั้นลึก

  • ดูดฝุ่น - เริ่มจากการดูดฝุ่นภายในรถให้สะอาด เพื่อกำจัดเศษอาหารหรือเศษขนมที่อาจเป็นแหล่งอาหารของมด
  • ล้างทำความสะอาด - ใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดทำความสะอาดเบาะนั่ง พรม และทุกซอกทุกมุมภายในรถ
  • ตรวจสอบใต้เบาะและช่องเก็บของ - มักจะมีเศษอาหารหรือสิ่งสกปรกซ่อนอยู่ตามซอกมุมเหล่านี้ จึงควรทำความสะอาดให้ทั่วถึง

2. กำจัดรังมด

  • หาแหล่งที่มา - พยายามสังเกตว่ามดเข้ามาในรถทางไหน อาจจะเป็นรอยร้าวตามขอบประตู หรือช่องว่างเล็กๆ
  • กำจัดรัง - หากพบรังมด ให้ทำการกำจัดรังมดโดยใช้น้ำยาฆ่าแมลง หรือปิดกั้นทางเข้าออกของมด

3. ใช้เหยื่อล่อมด

  • เหยื่อสำเร็จรูป - สามารถหาซื้อเหยื่อกำจัดมดสำเร็จรูปได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต โดยวางเหยื่อไว้ในบริเวณที่พบมด
  • ทำเหยื่อเอง - ผสมน้ำตาลกับกรดบอริก แล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆ วางไว้ในบริเวณที่มดชอบมาชุมนุม มดจะนำเหยื่อไปกินและตายในที่สุด

4. ใช้สารไล่มดตามธรรมชาติ

  • เปลือกส้ม - วางเปลือกส้มแห้งไว้ในรถยนต์ กลิ่นของเปลือกส้มจะช่วยไล่มดได้
  • ใบสะระแหน่ - วางใบสะระแหน่สดหรือแห้งไว้ในรถยนต์ กลิ่นของสะระแหน่ก็ช่วยไล่มดได้เช่นกัน

5. ป้องกันไม่ให้มดกลับมา

  • อุดรอยร้าว - ตรวจสอบและอุดรอยร้าวทุกจุดที่มดอาจเข้ามาได้ เช่น รอยร้าวตามขอบประตู หรือช่องว่างรอบๆ ไฟหน้า
  • ทำความสะอาดรถยนต์เป็นประจำ - การทำความสะอาดรถยนต์เป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้มดกลับมาทำรังอีก

     อย่างไรก็ดี หากพบว่ามีมดจำนวนมากภายในห้องโดยสารหรือห้องเครื่องยนต์ ควรเพิ่มความระมัดระวังกล่องควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เพราะเป็นชิ้นส่วนที่ละเอียดอ่อน เสี่ยงต่อการช็อตได้ง่าย หากเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ควรรีบนำรถเข้าเช็กที่อู่หรือศูนย์บริการโดยทันที

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sun 22 Jun, 2025
อ่านต่อ

     ใครที่ใช้รถบ่อยๆ คงจะสังเกตเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นเหมือนกับแหล่งพลังงานของรถในการขับเคลื่อนไป แต่ถ้าอยู่ดีๆ ถ้าเกิดไฟเตือนขึ้นหลายคนก็มักจะไปเติมทันที แล้วถ้าไม่เติมปล่อยไว้ก่อน ทำแบบนี้บ่อยๆ ผลเสียที่ได้มานั้นอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด วันนี้ เราจะพาคุณมาดู 3 คำเตือน หากไฟเตือนเติมน้ำมันขึ้นบ่อยแล้วไม่เติม อาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

3 คำเตือนหากคุณปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นบ่อยๆ

 1. ความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์

  • ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มติ๊ก) พังก่อนเวลาอันควร นี่คือผลกระทบที่ร้ายแรงและพบบ่อยที่สุด ปั๊มติ๊กซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ดูดน้ำมันจากถังส่งไปยังเครื่องยนต์ จะแช่อยู่ในถังน้ำมัน โดยอาศัยน้ำมันเชื้อเพลิงในการ หล่อลื่นและระบายความร้อน
    • เมื่อน้ำมันหมด: ปั๊มติ๊กจะดูดอากาศเข้ามาแทน ทำให้ตัวปั๊มทำงานหนักขึ้นในสภาพที่แห้งและเกิดความร้อนสูงสะสม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยครั้ง จะทำให้ปั๊มเสื่อมสภาพและเสียหายถาวรได้ ซึ่งค่าเปลี่ยนปั๊มติ๊กนั้นมีราคาสูง
  • ระบบเชื้อเพลิงอุดตัน ที่ก้นถังน้ำมันมักจะมีตะกอนหรือสิ่งสกปรกขนาดเล็กตกค้างอยู่ เมื่อคุณขับรถจนน้ำมันใกล้หมด ปั๊มติ๊กจะดูดเอาตะกอนเหล่านี้เข้าไปในระบบด้วย
    • ผลที่ตามมา: ตะกอนจะเข้าไปอุดตันที่ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และอาจเล็ดลอดไปถึง หัวฉีด ทำให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เครื่องยนต์สะดุด กำลังตก และหากอุดตันรุนแรงอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้างหรือเปลี่ยนหัวฉีด
  • สร้างความเสียหายให้แคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (Catalytic Converter) เมื่อน้ำมันเหลือน้อย การจ่ายน้ำมันไปยังเครื่องยนต์อาจไม่สม่ำเสมอ ทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการสะดุดหรือ "Misfire" (การจุดระเบิดผิดจังหวะ) ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่เผาไหม้ถูกปล่อยออกไปทางท่อไอเสีย เมื่อไปเจอกับความร้อนสูงของแคทตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ (ท่อแคท) อาจทำให้ชิ้นส่วนภายในหลอมละลายและเสียหายได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่มีราคาสูงมาก

2. ปัญหาเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

สำหรับคนที่ใช้รถกระบะหรือรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล การปล่อยให้น้ำมันหมดถังจะสร้างปัญหาที่ยุ่งยากกว่ารถเบนซิน เนื่องจากอากาศจะเข้าไปในระบบทางเดินน้ำมัน ทำให้เกิด "ฟองอากาศ" ในระบบ เมื่อเติมน้ำมันแล้วจะ สตาร์ทรถไม่ติด จนกว่าจะทำการ ไล่ลม (Bleeding) ออกจากระบบให้หมดก่อน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญหรือต้องเรียกช่างมาจัดการให้

3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายแฝง

นอกเหนือจากความเสียหายของตัวรถแล้ว ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ตามมาอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น

  • เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ: การที่รถดับกลางถนน, บนทางด่วน หรือบริเวณทางโค้ง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้
  • อันตรายจากการจอดในที่เปลี่ยว: หากรถเสียในเวลากลางคืนหรือในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
  • เสียเวลาและค่าใช้จ่าย: คุณจะต้องเสียเวลาในการรอความช่วยเหลือ และอาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับบริการน้ำมันฉุกเฉิน หรือค่ารถลากไปยังอู่ซ่อมรถ ที่เรียกว่าเสียเยอะมาก

     เห็นไหมครับว่า หากคุณไม่เติมน้ำมันตามที่ไฟขึ้นบ่อยๆ ก็อาจจะส่งเสียเยอะกว่าที่คิด ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันขึ้นถ้าไม่จำเป็นครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sun 22 Jun, 2025
อ่านต่อ

     แนะนำรถมือสองรุ่นใหญ่ 7 ที่นั่ง ในงบประมาณไม่เกิน 3 แสนบาท เหมาะสำหรับครอบครัวขยาย หรือดัดแปลงเพื่อนำไปใช้งานแบบแคมปิ้งก็ดี จะมีรุ่นไหนให้เลือกบ้างไปดูกันเลย

 

แนะนำรถมือสอง 7 ที่นั่ง ราคาไม่เกิน 300,000 บาท

Toyota Wish รุ่นปี 2004 - 2009

ราคามือสองโดยประมาณ 210,000 - 310,000 บาท

     อันที่จริงต้องบอกว่า Toyota Wish เป็นรถแบบ 6 ที่นั่งเสียมากกว่า เพราะทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมเบาะนั่งแถวที่ 2 แบบกัปตันซีทแยกออกจากกัน สามารถปรับได้อย่างอิสระ มีจุดเด่นอยู่ที่ช่วงล่างแน่นหนึบเน้นความสปอร์ต เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบขับรถเร็ว ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

 

Toyota Innova (โฉมแรก) รุ่นปี 2006 - 2011

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 280,000 บาท

     Toyota Innova โฉมแรกใช้พื้นฐานเดียวกับ Hilux Vigo และ Vigo Champ จึงมีจุดเด่นอยู่ที่ความทนทาน อะไหล่หาง่าย ค่าบำรุงรักษาไม่แพง โดยมากแล้วจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ซึ่งหากใครกังวลเรื่องอัตราสิ้นเปลืองก็สามารถนำไปติดตั้งแก๊สได้ แต่หากได้เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร ก็จะโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะและมีอัตราสิ้นเปลืองต่ำ แลกมาด้วยค่าตัวที่สูงกว่ารุ่นเบนซินพอสมควร

 

Isuzu MU-7 (โฉมไมเนอร์เชนจ์) รุ่นปี 2017 - 2012

ราคามือสองโดยประมาณ 250,000 - 420,000 บาท

     Isuzu MU-7 โฉมสุดท้ายก่อนเปลี่ยนเป็น MU-X เป็นอีกหนึ่งรุ่นยอดนิยม โดยเฉพาะราคามือสองที่เข้าถึงได้ง่าย แม้ว่าหน้าตาอาจจะไม่โดนใจนัก แต่ก็แลกมาด้วยความทนทานสไตล์อีซูซุ ซ่อมบำรุงรักษาไม่ยาก พร้อมด้วยห้องโดยสารกว้างขวางเหมาะสำหรับการใช้งานในครอบครัว

 

Honda Odyssey (RA6) รุ่นปี 2001 - 2005

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 280,000 บาท

     Honda Odyssey เจเนอเรชันที่ 2 รหัสตัวถัง RA6 ยังคงมีรูปลักษณ์ที่สวยงามน่าใช้ ซ่อมบำรุงง่าย ระบบเครื่องยนต์ไม่ซับซ้อน เพราะเป็นเครื่องบล็อกเดียวกับ Accord แต่น่าเสียดายที่เบาะนั่งแถวที่ 2 ไม่ใช่แบบกัปตันซีทแยกเหมือนกับเจเนอเรชันแรก แต่ถึงกระนั้นก็ถือว่าเป็นรถเอ็มพีวีรุ่นหนึ่งที่น่าใช้งานแลกกับค่าตัวเริ่มต้นไม่ถึง 2 แสนบาท

 

Mitsubishi Space Wagon (รุ่นปี 2005 - 2011)

ราคามือสองโดยประมาณ 190,000 - 370,000 บาท

     อดีตรถเอ็มพีวีระดับแฟลกชิปของค่ายมิตซูบิชิ ปัจจุบันมีค่าตัวในระดับที่เข้าถึงได้ง่าย ส่วนใหญ่จะป้วนเปี้ยนในระดับ 2 - 3 แสนบาทขึ้นอยู่กับรุ่นปี ห้องโดยสารกว้างขวางรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ แต่เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ที่ต้องแบกรับน้ำหนักบอดี้อันใหญ่โตก็ถือว่าตอบสนองได้แต่พอใช้ และขึ้นชื่อว่ากินน้ำมันโหด แต่หากหันไปคบแอลพีจีก็สบายใจได้ในระดับหนึ่ง

 

Ford Everest (โฉมไมเนอร์เชนจ์) รุ่นปี 2007 - 2011

ราคามือสองโดยประมาณ 270,000 - 350,000 บาท

     งบไม่เกินสามแสนก็สามารถเป็นเจ้าของ Ford Everest เจเนอเรชันแรกได้ แนะนำให้เล่นรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ได้เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Duratorq แล้ว เนื่องจากพละกำลังดีกว่า อัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่า และรูปโฉมที่ดูทันสมัยมากกว่า

 

Kia Grand Carnival รุ่นปี 2006 - 2012

ราคามือสองโดยประมาณ 260,000 - 420,000 บาท

     Kia Grand Carnaval เป็นรถ 11 ที่นั่งแท้ๆ มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เพดานโปร่ง พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.9 ลิตรที่มีเรี่ยวแรงใช้ได้ ขับทางไกลสบาย แต่ต้องใส่ใจในด้านบำรุงรักษากันสักนิด โดยเฉพาะการหาอู่เฉพาะทางเพื่อซ่อมแซมปัญหาต่างๆ ที่จะทยอยเกิดตามอายุการใช้งาน

 

     ทั้งนี้ การเลือกซื้อรถมือสองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูสภาพรถให้รอบคอบ ต้องไม่ผ่านการชนหนัก หรือพลิกคว่ำ สามารถตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุงที่ผ่านมาได้ ทางที่ดีหากดูรถมือสองไม่เป็นแล้วล่ะก็ ควรพาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญไปช่วยเลือกด้วย เพื่อให้ได้รถที่มีสภาพดีเหมาะกับการใช้งานมากที่สุดครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 06 Jun, 2025
อ่านต่อ

     การปรับมุมมองกระจกมองข้างที่ดี จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยด้านหลังให้ชัดเจนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แล้วการปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้องควรทำอย่างไร?

 

การปรับกระจกมองข้างที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้มองรถด้านหลังได้อย่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการเกิดมุมอับสายตา (Blind Spot) ได้ ทำให้การเปลี่ยนเลนทำได้อย่างปลอดภัย สามารถมองเห็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังได้ดีกว่า

 

การปรับกระจกม องข้างทำได้ง่ายๆ ดังนี้

1.ปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้เหมาะสมที่สุด และนั่งในท่านั่งที่สบาย ตำแหน่งศีรษะพิงกับพนักพิง

2.ปรับกระจกใน แนวนอน ให้เห็นตัวรถประมาณ 1 ใน 8 ของมุมมองทั้งหมด

3.ปรับกระจกใน แนวตั้ง ให้ขอบถนนสูงประมาณ 1 ใน 4 ของมุมมองทั้งหมด

 

     มุมที่ได้จากการปรับกระจกในลักษณะนี้ จะช่วยให้มองเห็นส่วนท้ายของตัวรถได้ ทำให้สามารถกะระยะห่างระหว่างตัวรถได้ง่ายขึ้น ขณะที่ความสูงยังพอเหมาะพอที่จะเห็นพื้นถนนไปพร้อมๆ กับรถที่มีความสูงมากเป็นพิเศษ เช่น รถบรรทุก, รถบัส ฯลฯ ได้ในเวลาเดียวกันครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 06 Jun, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.