×
หน้าหลัก > บทความประจำเดือน September 2025
บทความประจำเดือน September 2025
แสดง รายการ

     เชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหารถกระตุกขณะปลดออกจากตำแหน่ง P เมื่อจอดรถบนทางลาดชัน แต่ทราบหรือไม่ว่าปัญหานี้สามารถป้องกันได้ง่ายๆ เพียงแค่ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

 

วิธีป้องกันรถกระตุกเมื่อปลดเกียร์ P

การจอดรถ

     หากมีความจำเป็นต้องจอดรถบนทางลาดชัน เมื่อจอดรถจนสนิทแล้ว ให้เหยียบเบรกค้างไว้ก่อน จากนั้นจึงดึงเบรกมือจนสุด แล้วค่อยๆ ปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรกเพื่อให้แน่ใจว่ารถไม่ไหลอีก แล้วจึงค่อยผลักเกียร์ไปยังตำแหน่ง P วิธีนี้จะช่วยให้เบรกมือเป็นตัวรับน้ำหนักของรถแทน

การออกจากที่จอดรถ

     ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนการออกรถปกติ คือ สตาร์ทเครื่องยนต์ เหยียบเบรก เข้าเกียร์เดินหน้า (D) หรือถอยหลัง (R) จากนั้นจึงค่อยปลดเบรกมือเป็นลำดับสุดท้าย จะสังเกตได้ว่าหากมีการใส่เบรกมือค้างไว้แต่แรก รถจะไม่มีอาการกระตุกขณะปลดจากเกียร์ P

 

     วิธีีนี้นอกจากจะช่วยให้การขับรถเป็นไปอย่างนุ่มนวล ลดการเกิดเสียงดังของเกียร์ได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยในการถนอมเกียร์ในระยะยาวด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 02 Sep, 2025
อ่านต่อ

     เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมสายพ่วงแบตเตอรี่จะต้องมีทั้งสีแดงและสีดำเสมอ? แล้วสีไหนต่อเข้ากับขั้วอะไรจึงจะถูกต้อง? หากต่อสลับกันจะเกิดอะไรขึ้น? บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกันครับ

 

ทำไมสายพ่วงแบตเตอรี่ถึงมีสีแดงและสีดำเสมอ?

     อันที่จริงแล้วสาเหตุที่สายพ่วงแบตเตอรี่ต้องมี 2 สี คือ สีแดง และสีดำ เป็นเพราะว่าจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแยกแยะระหว่างขั้วบวกและขั้วลบได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ซึ่งโดยปกติสายสีแดงจะใช้สำหรับขั้วบวก (+) และสายสีดำจะใช้สำหรับขั้วลบ (-) เท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจเกิดขึ้นได้

 

     ส่วนสาเหตุที่สายขั้วบวก (+) จะต้องเป็นสีแดง เนื่องจากสีแดงเป็นสีที่สื่อถึงความอันตราย เพราะโดยปกติแล้วหากจำเป็นต้องถอดแบตเตอรี่ออกจากตัวรถ จำเป็นที่จะต้องดึงขั้ว (-) ออกก่อนเสมอ จากนั้นจึงค่อยดึงขั้วบวกตาม ซึ่งโดยมากแล้วขั้วบวกของแบตเตอรี่จะถูกครอบไว้ด้วยฝาครอบสีแดงอีกชั้นเพื่อความปลอดภัย และง่ายต่อการระบุขั้วของแบตเตอรี่นั่นเอง

 

สายพ่วงแบตเตอรี่ใช้สลับสีได้หรือไม่?

     ในทางเทคนิคแล้วสายแบตเตอรี่ทั้งสีแดงและสีดำมีลักษณะเหมือนกันทั้งหมด ต่างกันเพียงแค่สีเท่านั้น จึงสามารถใช้สลับกันได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่ปลายสายทั้งสองข้างจะต้องเสียบเข้ากับขั้วประเภทเดียวกันเท่านั้น (ขั้วบวกกับขั้วบวก / ขั้วลบกับขั้วลบ) มิเช่นนั้นแล้วจะเกิดการสปาร์กกันอย่างรุนแรง และอาจทำให้แบตเตอรี่หรือระบบไฟของรถเกิดความเสียหายได้

 

พ่วงแบตเตอรี่ต้องเสียบขั้วบวกหรือขั้วลบก่อนกัน?

ขั้นตอนการพ่วงแบตเตอรี่สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ดังนี้

  1. ดับเครื่องยนต์และปิดสวิตช์เพื่อตัดการทำงานของระบบไฟทั้งหมด
  2. นำสายพ่วงแบตเตอรี่สีแดงต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของรถคันแบตหมด จากนั้นจึงต่อเข้ากับขั้ว (+) ของรถคันแบตดี
  3. นำสายพ่วงแบตเตอรี่สีดำต่อเข้ากับขั้วลบ (-) ของรถคันแบตดี จากนั้นจึงหนีบสายอีกฝั่งเข้ากับชิ้นส่วนตัวถังของรถคันแบตหมดเพื่อใช้เป็นกราวด์ หลีกเลี่ยงการต่อเข้ากับขั้ว (-) ของคันแบตหมดเด็ดขาด
  4. สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันแบตดี แล้วจึงสตาร์ทเครื่องยนต์รถคันแบตหมด
  5. ถอดสายพ่วงแบตโดยย้อนตามขั้นตอนการพ่วงแบต (ขั้วลบรถแบตหมด > ขั้วลบรถแบตดี > ขั้วบวกรถแบตดี > ขั้วบวกรถแบตหมด)

     ทั้งนี้ การเลือกซื้อสายพ่วงแบตเตอรี่ ควรพิจารณาปัจจัยอื่นนอกเหนือจากราคาเพียงอย่างเดียว โดยความยาวสายจะต้องเหมาะสม ไม่สั้นจนเกินไป เพราะอาจเป็นอุปสรรคต่อการพ่วงแบตเตอรี่ในสถานการณ์จริง และจะต้องเลือกสายที่มีขนาดใหญ่ สามารถรองรับกระแสไฟได้ดี ฉนวนกันความร้อนหนา ปากคับมีมาตรฐาน จะได้ไม่เกิดปัญหาในการใช้งานครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 02 Sep, 2025
อ่านต่อ

     เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมรถรุ่นใหม่ๆ ถึงมีปุ่มสลับโหมด Trip A และ Trip B มาให้ ประโยชน์ที่แท้จริงของระบบดังกล่าวคืออะไร บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกันครับ

 

Trip A และ Trip B ใช้ทำอะไร?

     หากเคยลองสังเกตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะพบว่าผู้ขับขี่สามารถปรับค่าการแสดงระยะทางขับขี่แบบ Trip A หรือ Trip B ได้ โดยสามารถเลือกรีเซ็ตเฉพาะค่าใดค่าหนึ่ง หรือทั้งสองค่าก็ได้ จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าฟังก์ชันเหล่านี้มันมีประโยชน์อย่างไรกันแน่?

 

     ประโยชน์ของระบบ Trip A และ Trip B ยกตัวอย่างเช่น Trip A สามารถใช้วัดระยะทางจากจุด A ไปยังจุด B ตามปกติ ขณะที่ Trip B สามารถรีเซ็ตหลังเติมน้ำมันเพื่อหาอัตราสิ้นเปลืองของตัวรถได้ โดยไม่กระทบต่อระยะทางหลัก (Trip A) นั่นเอง

 

     ส่วนวิธีการหาอัตราสิ้นเปลืองก็ทำได้ง่ายๆ แถมยังแม่นยำกว่าที่โชว์บนหน้าจอ เพียงแค่เติมน้ำมันจนเต็มถัง จากนั้นรีเซ็ต Trip A หรือ Trip B แล้วนำรถไปใช้งานตามปกติ เมื่อต้องการวัดอัตราสิ้นเปลือง ให้เติมน้ำมันกลับจนเต็มถัง จากนั้นนำระยะทางหลังรีเซ็ต มาหารด้วยจำนวนลิตรที่เติมกลับเข้าไป ก็จะได้อัตราสิ้นเปลืองหน่วยเป็น กม./ลิตร ยกตัวอย่างเช่น ระยะทางวิ่ง 200 กม. เติมน้ำมันกลับได้ 10 ลิตร จะเท่ากับ 200/10 = 20 กม./ลิตร

 

     ทั้งนี้ รถบางรุ่นหากมีการรีเซ็ต Trip A ก็จะทำการรีเซ็ตตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยควบคู่กันไปด้วย โดยส่วนมากระบบ Trip A และ Trip B จะแสดงระยะทางสูงสุดที่ 9999.9 กิโลเมตร ก่อนวนกลับไปเริ่มต้นที่ 0 อีกครั้ง

 

เมื่อทราบเช่นนี้แล้วก็อย่าลืมลองใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 02 Sep, 2025
อ่านต่อ

     น้ำมันเบรก หรือ น้ำมันไฮดรอลิกเบรก นั้นเปรียบเสมือนเลือดของระบบเบรกในรถยนต์ มีหน้าที่หลักในการถ่ายทอดแรงที่เราเหยียบเบรก ไปยังผ้าเบรก หรือจานเบรก ทำให้รถหยุดได้นั่นเอง

 

น้ำมันเบรกมีหน้าที่ทำอะไร?

น้ำมันเบรกมีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้นจากอากาศ ทำให้จุดเดือดลดลง หากน้ำมันเบรกมีความชื้นสูง เมื่อเราเบรกแรงๆ ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้น้ำมันเบรกเดือด เกิดปรากฏการณ์เบรกเฟด (Brake Fade) ทำให้เบรกไม่ค่อยอยู่

 

อย่างไรก็ดี น้ำมันเบรกจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานรถบ่อยๆ ก็ตาม ทำให้ประสิทธิภาพในการถ่ายทอดแรงลดลง รวมถึงน้ำมันเบรกอาจปนเปื้อนสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง หรือเศษโลหะ ทำให้ระบบเบรกทำงานไม่ราบรื่น

 

น้ำมันเบรกควรเปลี่ยนทุกกี่กิโลเมตร?

โดยทั่วไปแล้ว คู่มือรถยนต์จะระบุระยะทางในการเปลี่ยนน้ำมันเบรกไว้ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกทุกๆ 2-3 ปี หรือ 40,000 - 60,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและชนิดของน้ำมันเบรก

 

อาการที่บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเบรก

หากพบว่ารถมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบนำรถเข้ารับการตรวจเช็กระบบเบรกและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกเมื่อจำเป็น

  • เบรกไม่ค่อยอยู่ - เบรกต้องเหยียบลึกขึ้นกว่าปกติจึงจะหยุดรถได้
  • เบรกค้าง - เบรกไม่คลายตัวหลังจากปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรก

นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ ที่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเช็กระบบเบรก คือ

  • รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเมื่อเบรก - อาจเกิดจากผ้าเบรกสึกหรอ หรือระบบเบรกมีปัญหา
  • มีเสียงดังขณะเบรก - อาจเกิดจากผ้าเบรกสึกหรอ หรือจานเบรกบิดเบี้ยว

เห็นไหมครับว่าน้ำมันเบรกมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ของเหลวอื่นๆ การเปลี่ยนน้ำมันเบรกตามระยะเวลาที่กำหนด จะช่วยให้ระบบเบรกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติของระบบเบรก ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็คและเปลี่ยนน้ำมันเบรกทันที

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 02 Sep, 2025
อ่านต่อ

     แม้ว่าจะเป็นรถเกียร์ธรรมดาก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เช่นเดียวกับเกียร์ออโต้ แม้ว่าหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่ารถเกียร์ธรรมดาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ แต่ความจริงแล้ว น้ำมันเกียร์ในรถเกียร์ธรรมดาก็เสื่อมสภาพตามการใช้งานได้เช่นกัน

 

สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ธรรมดา

  1. ลดแรงเสียดทาน - น้ำมันเกียร์ช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างชิ้นส่วนภายในเกียร์ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลขึ้น และช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์
  2. ระบายความร้อน - น้ำมันเกียร์ช่วยระบายความร้อนจากชิ้นส่วนภายในเกียร์ ป้องกันไม่ให้เกียร์ร้อนเกินไปจนเกิดความเสียหาย
  3. ป้องกันการสึกหรอ - น้ำมันเกียร์ช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในเกียร์ ลดการสึกหรอ และป้องกันการเกิดสนิม
  4. รักษาประสิทธิภาพ - การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เป็นประจำจะช่วยรักษาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเกียร์ให้ราบรื่นและส่งกำลังได้ดี

น้ำมันเกียร์ธรรมดาเปลี่ยนทุกกี่กิโลเมตร?

ตามระยะทาง - ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางที่ระบุในคู่มือรถ หรือประมาณทุก 40,000 - 60,000 กิโลเมตร

เมื่อสังเกตเห็นอาการผิดปกติ - เช่น เกียร์เข้ายาก, เกียร์หลุด, เกียร์รั่ว, มีเสียงดังขณะเปลี่ยนเกียร์ หรือรู้สึกว่าเกียร์ทำงานไม่นุ่มนวล

 

     ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้รถเกียร์ธรรมดาแล้วล่ะก็ อย่าลืมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์เมื่อถึงระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อยืดอายุการใช้งานของระบบเกียร์ด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 02 Sep, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.