×
หน้าหลัก > บทความประจำเดือน August 2024
บทความประจำเดือน August 2024
แสดง รายการ

     แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้รถยนต์สามารถสตาร์ทและทำงานได้อย่างราบรื่น โดยแบตเตอรี่รถยนต์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ แบตเตอรี่แห้ง (Maintenance-Free Battery) และแบตเตอรี่น้ำ (Flooded Battery) แต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป การเลือกใช้แบตเตอรี่ชนิดใดจึงเหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

     แบตเตอรี่แห้ง หรือแบตเตอรี่แบบไม่ต้องดูแลรักษา เป็นแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ เช่น ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยครั้ง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และมีขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบากว่าแบตเตอรี่น้ำ ทำให้ติดตั้งได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ แบตเตอรี่แห้งยังมีประสิทธิภาพในการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูง ทำให้สตาร์ทเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็วและมีเสถียรภาพ

     แบตเตอรี่น้ำ หรือแบตเตอรี่แบบต้องดูแลรักษา เป็นแบตเตอรี่แบบดั้งเดิมที่ยังคงมีใช้อยู่ในรถยนต์บางรุ่น ข้อดีของแบตเตอรี่น้ำคือ มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง และสามารถทนต่อสภาวะอากาศที่ร้อนได้ดีกว่า แต่ข้อเสียคือ ต้องมีการตรวจสอบและเติมน้ำกลั่นเป็นระยะๆ หากระดับน้ำกลั่นต่ำเกินไปจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ และมีโอกาสที่จะเกิดการรั่วซึมของกรดได้

 

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกแบตเตอรี่

  • ประเภทรถยนต์ - รถยนต์รุ่นใหม่มักจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่แห้งเป็นมาตรฐาน เนื่องจากมีขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบา ทำให้ติดตั้งได้ง่ายขึ้น
  • สภาพการใช้งาน - หากรถยนต์ของคุณใช้งานในสภาพอากาศที่ร้อนจัด หรือมีการสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์บ่อยครั้ง ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ที่ทนทานต่อสภาวะเหล่านี้
  • งบประมาณ - แบตเตอรี่แห้งมักจะมีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ
  • ความสะดวกในการดูแลรักษา - หากคุณต้องการความสะดวกสบาย แบตเตอรี่แห้งจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

     การเลือกใช้แบตเตอรี่แห้งหรือแบตเตอรี่น้ำขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับรถยนต์และความต้องการของผู้ใช้ โดยทั่วไปแล้ว แบตเตอรี่แห้งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ อายุการใช้งาน และความสะดวกในการดูแลรักษา อย่างไรก็ตาม หากคุณมีงบประมาณจำกัด และรถยนต์ของคุณเป็นรุ่นเก่า แบตเตอรี่น้ำก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 31 Aug, 2024
อ่านต่อ

     การบีบแตรรถยนต์เป็นการสื่อสารที่สำคัญในการขับขี่ แต่การใช้สัญญาณแตรในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดความรำคาญและเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ กฎหมายจราจรไทยจึงกำหนดให้มีสถานที่ห้ามใช้สัญญาณแตร เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัย

 

5 สถานที่ที่ห้ามบีบแตร มีดังนี้

  1. เขตชุมชน - หมายถึง พื้นที่ที่มีบ้านเรือนอาศัย ตั้งแต่เวลา 22.00 น. - 06.00 น.
  2. โรงพยาบาล - รวมถึงบริเวณโดยรอบโรงพยาบาล
  3. สถานศึกษา - เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการเรียนการสอน
  4. เขตพระราชฐาน - เพื่อรักษาความสงบและความเป็นส่วนตัว
  5. บริเวณที่ติดป้ายห้ามบีบแตร - เช่น ใกล้สถานที่ท่องเที่ยว วัด หรือในซอยที่เป็นที่อยู่อาศัย

 

     ตามข้อมูลพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 14 ระบุไว้ว่า การใช้เสียงสัญญาณ ผู้ขับขี่จะใช้ได้เฉพาะเมื่อจำเป็นหรือป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น แต่จะใช้เสียงยาวหรือซ้ำเกินควรไม่ได้ ซึ่งหากทำผิดมาตรา 14 วรรค 2 จะมีบทลงโทษตามมาตรา 150 (1) โดยมีโทษปรับ 500 บาท

 

     สาเหตุที่ห้ามบีบแตรในสถานที่เหล่านี้ เนื่องจากเสียงแตรรถยนต์ที่ดังรบกวน อาจส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนและการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้อื่น รวมถึงอาจสร้างความตกใจให้กับผู้ป่วยภายในเขตพื้นที่โรงพยาบาล

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 31 Aug, 2024
อ่านต่อ

     น้ำมันเบรก หรือ น้ำมันไฮดรอลิกเบรก นั้นเปรียบเสมือนเลือดของระบบเบรกในรถยนต์ มีหน้าที่หลักในการถ่ายทอดแรงที่เราเหยียบเบรก ไปยังผ้าเบรก หรือจานเบรก ทำให้รถหยุดได้นั่นเอง

 

น้ำมันเบรกมีหน้าที่ทำอะไร?

น้ำมันเบรกมีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้นจากอากาศ ทำให้จุดเดือดลดลง หากน้ำมันเบรกมีความชื้นสูง เมื่อเราเบรกแรงๆ ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้น้ำมันเบรกเดือด เกิดปรากฏการณ์เบรกเฟด (Brake Fade) ทำให้เบรกไม่ค่อยอยู่

 

อย่างไรก็ดี น้ำมันเบรกจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานรถบ่อยๆ ก็ตาม ทำให้ประสิทธิภาพในการถ่ายทอดแรงลดลง รวมถึงน้ำมันเบรกอาจปนเปื้อนสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง หรือเศษโลหะ ทำให้ระบบเบรกทำงานไม่ราบรื่น

 

น้ำมันเบรกควรเปลี่ยนทุกกี่กิโลเมตร?

โดยทั่วไปแล้ว คู่มือรถยนต์จะระบุระยะทางในการเปลี่ยนน้ำมันเบรกไว้ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกทุกๆ 2-3 ปี หรือ 40,000 - 60,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและชนิดของน้ำมันเบรก

 

อาการที่บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเบรก

หากพบว่ารถมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบนำรถเข้ารับการตรวจเช็กระบบเบรกและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกเมื่อจำเป็น

  • เบรกไม่ค่อยอยู่ - เบรกต้องเหยียบลึกขึ้นกว่าปกติจึงจะหยุดรถได้
  • เบรกค้าง - เบรกไม่คลายตัวหลังจากปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรก

นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ ที่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเช็กระบบเบรก คือ

  • รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเมื่อเบรก - อาจเกิดจากผ้าเบรกสึกหรอ หรือระบบเบรกมีปัญหา
  • มีเสียงดังขณะเบรก - อาจเกิดจากผ้าเบรกสึกหรอ หรือจานเบรกบิดเบี้ยว

เห็นไหมครับว่าน้ำมันเบรกมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ของเหลวอื่นๆ การเปลี่ยนน้ำมันเบรกตามระยะเวลาที่กำหนด จะช่วยให้ระบบเบรกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติของระบบเบรก ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็คและเปลี่ยนน้ำมันเบรกทันที

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 21 Aug, 2024
อ่านต่อ

     แม้ว่าจะเป็นรถเกียร์ธรรมดาก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เช่นเดียวกับเกียร์ออโต้ แม้ว่าหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่ารถเกียร์ธรรมดาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ แต่ความจริงแล้ว น้ำมันเกียร์ในรถเกียร์ธรรมดาก็เสื่อมสภาพตามการใช้งานได้เช่นกัน

 

สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ธรรมดา

  1. ลดแรงเสียดทาน - น้ำมันเกียร์ช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างชิ้นส่วนภายในเกียร์ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลขึ้น และช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์
  2. ระบายความร้อน - น้ำมันเกียร์ช่วยระบายความร้อนจากชิ้นส่วนภายในเกียร์ ป้องกันไม่ให้เกียร์ร้อนเกินไปจนเกิดความเสียหาย
  3. ป้องกันการสึกหรอ - น้ำมันเกียร์ช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในเกียร์ ลดการสึกหรอ และป้องกันการเกิดสนิม
  4. รักษาประสิทธิภาพ - การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เป็นประจำจะช่วยรักษาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเกียร์ให้ราบรื่นและส่งกำลังได้ดี

น้ำมันเกียร์ธรรมดาเปลี่ยนทุกกี่กิโลเมตร?

ตามระยะทาง - ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางที่ระบุในคู่มือรถ หรือประมาณทุก 40,000 - 60,000 กิโลเมตร

เมื่อสังเกตเห็นอาการผิดปกติ - เช่น เกียร์เข้ายาก, เกียร์หลุด, เกียร์รั่ว, มีเสียงดังขณะเปลี่ยนเกียร์ หรือรู้สึกว่าเกียร์ทำงานไม่นุ่มนวล

 

     ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้รถเกียร์ธรรมดาแล้วล่ะก็ อย่าลืมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์เมื่อถึงระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อยืดอายุการใช้งานของระบบเกียร์ด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 21 Aug, 2024
อ่านต่อ

     ปัญหารถกินน้ำมันผิดปกติ น้ำมันหมดถังเร็วกว่าปกติ เกิดขึ้นได้กับรถที่ผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุหลายอย่างที่อาจจำแนกได้ดังต่อไปนี้

 

1. ระบบจุดระเบิดมีปัญหา

หัวเทียนเสีย - หัวเทียนที่เสื่อมสภาพหรือมีคราบเขม่ามากเกินไป จะทำให้การจุดระเบิดไม่สมบูรณ์ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นและกินน้ำมันมากขึ้น

สายหัวเทียนชำรุด - สายหัวเทียนที่เสียหายจะทำให้สัญญาณไฟฟ้าอ่อนลง ส่งผลต่อการจุดระเบิด

คอยล์จุดระเบิดเสีย - คอยล์จุดระเบิดมีหน้าที่สร้างประกายไฟเพื่อจุดระเบิด หากเสียหายจะทำให้การจุดระเบิดไม่สมบูรณ์ เครื่องยนต์มีอาการสั่น และไฟเอนจิ้นโชว์

2. ระบบเชื้อเพลิงมีปัญหา

ปั๊มติ๊กเสีย - ปั๊มติ๊กมีหน้าที่ส่งน้ำมันไปยังเครื่องยนต์ หากเสียหายจะทำให้น้ำมันไม่เพียงพอต่อการเผาไหม้

หัวฉีดตัน - หัวฉีดมีหน้าที่พ่นน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในห้องเผาไหม้ หากตันจะทำให้น้ำมันพ่นออกมาไม่สม่ำเสมอ

ตัวกรองน้ำมันเชื้อเพลิงสกปรก - ตัวกรองน้ำมันเชื้อเพลิงที่สกปรกจะทำให้น้ำมันไหลผ่านได้น้อยลง

3. ปัญหาที่ระบบอากาศ

เซ็นเซอร์วัดปริมาณอากาศเสีย - เซ็นเซอร์ตัวนี้มีหน้าที่วัดปริมาณอากาศที่เข้าสู่เครื่องยนต์ หากเสียหายจะทำให้เครื่องยนต์ได้รับอากาศไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการเผาไหม้

ท่ออากาศรั่ว - ท่ออากาศที่รั่วจะทำให้อากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ไม่เพียงพอ หรือเข้าไปในปริมาณที่มากเกินไป

4. ปัญหาที่เครื่องยนต์

แหวนลูกสูบสึกหรอ - แหวนลูกสูบมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำมันเครื่องรั่วลงไปในห้องเผาไหม้ หากสึกหรอจะทำให้น้ำมันเครื่องเข้าไปเผาไหม้กับน้ำมันเชื้อเพลิง

วาล์วสึกหรอ - วาล์วมีหน้าที่ควบคุมการเปิด-ปิดของห้องเผาไหม้ หากสึกหรอจะทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์

การตั้งวาล์วผิดเพี้ยน - การตั้งวาล์วที่ผิดเพี้ยนจะส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ และทำให้กินน้ำมันมากขึ้น

5. พฤติกรรมการใช้รถ

ยางรถยนต์ลมอ่อน - ยางรถยนต์ลมอ่อนจะทำให้การหมุนของล้อรถยากขึ้น เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นจึงจะขับเคลื่อนรถได้

น้ำหนักบรรทุกมากเกินไป - การบรรทุกของหนักเกินไปจะทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อเคลื่อนย้ายน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

พฤติกรรมการขับขี่ - การขับรถด้วยความเร็วสูงบ่อยๆ การเร่งเครื่องอย่างรุนแรง หรือการเบรกกระทันหัน จะทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น

 

     สาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงสาเหตุทั่วไป อาจมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้รถกินน้ำมันผิดปกติได้เช่นกัน ทางที่ดีควรนำรถเข้ารับการเช็กระยะเป็นประจำสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์หรืออู่นอกก็ตาม และหากพบว่ารถมีอาการผิดปกติ ควรรีบนำรถเข้ารับการตรวจเช็กและแก้ไขโดยทันที ไม่ปล่อยจนอาการลุกลามบานปลาย มิเช่นนั้นแล้วอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายก้อนโตได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 21 Aug, 2024
อ่านต่อ

     การขับรถช้าๆ เป็นวิธีที่หลายคนปฏิบัติเพื่อช่วยให้รถกินน้ำมันน้อยลง แต่ความจริงการขับรถช้าช่วยประหยัดน้ำมันได้แค่ไหน บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกันครับ

 

การขับรถช้าๆ ช่วยประหยัดน้ำมันได้จริงไหม?

คำตอบคือ จริง เพราะเมื่อเราขับรถช้าๆ แรงต้านอากาศที่กระทำต่อตัวรถก็จะน้อยลง ทำให้เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักในการเคลื่อนที่รถ อีกทั้งรอบเครื่องยนต์ก็จะต่ำ ส่งผลให้การเผาไหม้น้ำมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

แต่! การขับรถช้าเกินไป ก็ไม่ได้แปลว่ารถจะประหยัดน้ำมันเสมอไป เพราะหากขับรถด้วยความเร็วต่ำจนเกินไป เกียร์จะไม่ตัดไปยังอัตราทดเกียร์สูงสุด ทำให้รอบเครื่องยนต์สูงเกินความจำเป็น จึงควรขับด้วยความเร็วที่พอดี ซึ่ง โดยทั่วไปแล้ว ความเร็วที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประเภทของรถและสภาพการจราจร

 

นอกจากความเร็วแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการประหยัดน้ำมันก็มีอีกมากมาย เช่น สภาพของรถ ยางรถที่สึกหรอ หรือไม่สมดุลจะทำให้เกิดแรงเสียดทานเพิ่มขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น การบรรทุกของหนักเกินไปก็จะทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นเช่นกัน และพฤติกรรมการขับขี่ก็มีส่วนสำคัญ การเร่งเครื่องหรือเบรกกระทันหัน จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าการขับขี่แบบเรียบๆ นุ่มนวล

 

รวมไปถึงการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนด เปลี่ยนไส้กรองอากาศ การปรับตั้งตั้งวาล์ว และการตรวจสอบระบบเบรก จะช่วยให้รถยนต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมันมากขึ้น

 

กล่าวโดยสรุป การขับรถช้าๆ ช่วยประหยัดน้ำมันได้จริง แต่ต้องไม่ช้าจนเกินไป ช่วงความเร็วที่ประหยัดน้ำมันที่สุดจะอยู่ราว 80 - 100 กม./ชม. อีกทั้งยังควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ และดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุดนั่นเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 21 Aug, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2024 Vevo Systems Co., Ltd.