×
หน้าหลัก > บทความประจำเดือน July 2025
บทความประจำเดือน July 2025
แสดง รายการ

     รถยนต์เป็นทรัพย์สินมูลค่าสูง การที่รถมีรอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยย่อมทำให้รู้สึกไม่สบายใจได้ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ เรามีวิธีการแก้ไขเบื้องต้นที่สามารถทำได้เองที่บ้าน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำสีรถใหม่ มาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้าง

 

1. ยาสีฟัน

ยาสีฟันไม่ได้มีดีแค่เรื่องทำความสะอาดฟันเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยขจัดรอยขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ บนรถยนต์ได้อีกด้วย วิธีการก็ง่ายๆ เพียงแค่บีบยาสีฟันลงบนผ้าไมโครไฟเบอร์ที่ชุบน้ำเล็กน้อย จากนั้นนำไปขัดวนเบาๆ บริเวณที่เป็นรอย ขัดประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด รอยขีดข่วนเล็กๆ จะจางลงอย่างเห็นได้ชัด

2. น้ำยาขัดสีรถ

สำหรับรอยขีดข่วนที่ลึกกว่านั้น อาจต้องใช้น้ำยาขัดสีรถที่มีจำหน่ายตามร้านอุปกรณ์รถยนต์ ก่อนใช้งานควรอ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างละเอียด โดยทั่วไปแล้วให้ทาน้ำยาขัดสีลงบนฟองน้ำหรือผ้าไมโครไฟเบอร์ แล้วขัดวนเบาๆ บริเวณที่เป็นรอย จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้ง

3. ปากกาแต้มสี

ปากกาแต้มสีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน เพียงแค่เลือกปากกาที่มีสีใกล้เคียงกับสีรถยนต์ของคุณ จากนั้นทำความสะอาดบริเวณที่เป็นรอยให้สะอาดและแห้ง แล้วจึงใช้ปากกาลบรอยขีดข่วนทาลงไปบนรอยขีดข่วนตามคำแนะนำบนฉลากเพื่อให้เนียนไปกับสีตัวถังเดิม

 

     อย่างไรก็ดี วิธีเหล่านี้เหมาะสำหรับรอยขีดข่วนที่ไม่ลึกมาก หากรอยลึกถึงชั้นสีอาจจำเป็นต้องนำรถเข้าอู่สีเพื่อทำสีใหม่ครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 31 Jul, 2025
อ่านต่อ

     “เช็คระยะ” หนึ่งในคำที่เจ้าของรถหรือคนที่กำลังจะซื้อรถมักจะได้ยินบ่อย แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร และจำเป็นแค่ไหน

 

ในบทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า “การเช็คระยะรถยนต์” คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และควรทำเมื่อไร เพื่อให้รถของคุณอยู่ในสภาพดี ปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

 

การเช็คระยะ คืออะไร?

     การเช็คระยะ หรือ Maintenance Service คือการนำรถเข้าตรวจสอบสภาพตามระยะการใช้งาน หรือระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเปลี่ยนถ่ายของเหลว และตรวจบำรุงรักษาชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้รถสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่ชะลอความเสื่อมสภาพของรถยนต์

การเช็คระยะ สำคัญขนาดไหน?

การเช็คระยะมี ความสำคัญต่อทั้งความปลอดภัยและอายุการใช้งานของรถ โดยมีข้อดีหลัก ๆ ดังนี้:

  • ป้องกันปัญหาใหญ่ก่อนจะเกิดขึ้น
  • ช่วยให้รถทำงานเต็มประสิทธิภาพ
  • ยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่าง ๆ
  • รักษามูลค่ารถในกรณีขายต่อ
  • ยังคงเงื่อนไขการรับประกันรถใหม่จากผู้ผลิต

ตารางการเช็คระยะ

ระยะ/เวลาที่ / กำหนดการเช็คระยะ

5,000 - 10,000 กม. / 6-12 เดือน

- เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

- เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง

- เช็กช่วงล่าง ระบบเบรก แบตเตอรี่

20,000 กม. / 12-18 เดือน

- เปลี่ยนไส้กรองอากาศ

- น้ำมันเบรก

- ผ้าเบรก (ถ้าสึก)

- เช็คน้ำยาหล่อเย็น

40,000 กม. / 12-24 เดือน

- เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ (ตามสเปกรถ)

- น้ำยาหล่อเย็น

- หัวเทียน

80,000 กม. / 24-48 เดือน

- เปลี่ยนสายพานหน้าเครื่อง (ถ้าจำเป็น)

- ระบบบังคับเลี้ยว/พวงมาลัย

- ลูกปืนล้อ

100,000+ กม. / 60 เดือน

- ตรวจความพร้อมระบบทั้งหมด

- พิจารณาเปลี่ยนแบตเตอรี่

- เปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง (ถ้ามี)

 

หมายเหตุเพิ่มเติม

  • ให้ยึดตาม “ระยะที่ถึงก่อน”: เช่น ถ้ารถยังไม่ถึง 10,000 กม. แต่ครบ 6 เดือนแล้ว ก็ควรนำเข้าเช็คระยะ
  • รถแต่ละรุ่นอาจมีระยะเช็กแตกต่างกัน ควรอ้างอิงจาก คู่มือรถ หรือสอบถามจากศูนย์บริการที่เชื่อถือได้

ผลกระทบต่อรถถ้าไม่เช็คระยะ

หากละเลยการเช็คระยะ อาจจะเกิดผลกระทบมากมายกับรถยนต์ เช่น

 

  • เครื่องยนต์สึกหรอเร็ว
  • ระบบเบรกเสื่อมประสิทธิภาพ
  • สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น
  • เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ
  • ซ่อมใหญ่ภายหลัง เสียเงินมากกว่าเดิมหลายเท่า

สรุป: เช็คระยะคือการดูแลรถที่ “คุ้มค่า” ที่สุด

     เช็คระยะไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แต่คือการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้รถของคุณปลอดภัย พร้อมใช้งานได้อย่างยาวนาน หากคุณมีรถ อย่าลืมตรวจสอบระยะและจองคิวล่วงหน้ากับศูนย์บริการหรืออู่ที่คุณไว้ใจ เพื่อให้ทุกการขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้น

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 31 Jul, 2025
อ่านต่อ

     สำหรับเจ้าของรถยนต์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งอาจจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น "ถ้าวันหนึ่งมีลูกระเบิดหรือกระสุนปริศนาตกใส่รถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน จากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดน ประกันภัยรถยนต์ที่เราจ่ายเบี้ยทุกปีจะคุ้มครองหรือไม่?" และคำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะเมื่อย้อนดูเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีอยู่ตอนนี้ ถ้ารถเราโดนขึ้นมาประกันยังจะจ่ายไหม วันนี้ เรามีคำตอบ

ประกันคุ้มครองกรณีอะไรที่นอกเหนือจากอุบัติเหตุ

โดยปกติแล้วประกันรถจะสามารถคุ้มครองด้าน อุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นมีคู่กรณ๊ หรือบางประเภทจะครอบคลุมทั้งหมด แต่จะพิจารณาถึงต้นตอของเหตุการณ์เป็นหลัก ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ที่มีผลต่อการเคลมประกันอย่างแน่นอนคือ

  1. สงคราม (War): หากเหตุการณ์ปะทะถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็น "ภาวะสงคราม" ระหว่างประเทศ นี่คือข้อยกเว้นมาตรฐานในกรมธรรม์ทุกฉบับ ประกันจะไม่คุ้มครองความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นความเสี่ยงภัยระดับมหภาคที่บริษัทประกันไม่สามารถรับไว้ได้
  2. การก่อการร้าย (Terrorism): หากเหตุการณ์ถูกระบุว่าเป็นการก่อการร้าย ที่มุ่งหวังผลทางการเมือง ศาสนา หรือสร้างความหวาดกลัวให้แก่สาธารณชน ก็จะเข้าข่าย ข้อยกเว้นมาตรฐานเช่นกัน ประกันส่วนใหญ่จะไม่คุ้มครอง เว้นแต่คุณจะซื้อความคุ้มครองภัยก่อการร้ายเพิ่มเติม ซึ่งมักจะมีวงเงินจำกัด
  3. ความไม่สงบ/การปะทะตามแนวชายแดน (Civil Unrest/Border Clash): นี่คือกรณีที่เป็นความหวัง! หากเหตุการณ์เป็นเพียง "การปะทะกัน" หรือ "ความไม่สงบ" ที่ไม่ถูกยกระดับเป็นสงครามเต็มรูปแบบ การตีความจะเปลี่ยนไป และโอกาสในการเคลมประกันจะเปิดกว้างขึ้นอย่างมาก

ประกันแบบไหนที่สามารถคุ้มครองได้

จากกรณีดังกล่าวจะมีปะรกันเพียงแค่แบบเดียวที่สามารถคุ้มครอบงคือ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ที่มีโอกาสจะซ่อมให้เราได้มากที่สุดเพราะ

  • ประกันภัยชั้น 1: จุดเด่นของประกันชั้น 1 คือการให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์แบบ "ไม่มีคู่กรณี" หรือความเสียหายจาก "ปัจจัยภายนอก" ซึ่งการที่รถถูกลูกหลงจากเหตุปะทะ สามารถตีความได้ว่าเป็นความเสียหายจากปัจจัยภายนอกที่ผู้เอาประกันไม่ได้ก่อขึ้น ดังนั้น หากเหตุการณ์ไม่เข้าข้อยกเว้นเรื่องสงครามหรือการก่อการร้าย ผู้ที่ทำประกันชั้น 1 จะมีสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้
  • ประกันภัยชั้น 2+, 3+ และ 3: สำหรับประกันประเภทอื่นๆ นั้น ไม่ให้ความคุ้มครองในกรณีนี้ เนื่องจากความคุ้มครองจะเน้นไปที่อุบัติเหตุแบบ "รถชนรถ" (สำหรับ 2+ และ 3+) หรือคุ้มครองเฉพาะความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (สำหรับชั้น 3) เท่านั้น

 

จากข้อมูลในเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนต่างๆพบว่าหน่วยงานภาครัฐและบริษัทประกันหลายแห่งได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมักถูกมองเป็น "ภัยจากความไม่สงบ" มากกว่า "สงคราม" และเช่นเดียวกับครั้งนี้ ดังนั้นเมื่อมาการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้เอาประกันที่ได้รับผลกระทบ โดยเป็นการจ่ายภายใต้นโยบายช่วยเหลือหรือการจ่ายสินไหมกรุณา (Ex-gratia Payment) ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบแม้เหตุการณ์จะอยู่ในข้อยกเว้นก็ตาม สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าโอกาสในการเคลมนั้นมีอยู่จริง

คู่มือเอาตัวรอด ต้องทำอย่างไรเมื่อรถโดนลูกหลง?

อย่างไรก็ตามเรื่องของรถก็น่าห่วง แต่ถ้าหากคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ ให้ตั้งสติและทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก: อย่าเพิ่งห่วงรถ ควรรีบออกจากพื้นที่เสี่ยงและหาที่หลบภัยที่ปลอดภัยก่อน
  2. บันทึกหลักฐานให้มากที่สุด: เมื่อสถานการณ์ปลอดภัยแล้ว ให้ถ่ายรูปและวิดีโอความเสียหายของรถยนต์และบริเวณโดยรอบเก็บไว้ทุกมุม
  3. แจ้งความกับตำรวจ: ไปที่สถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน การระบุในสำนวนของตำรวจว่าเหตุการณ์คืออะไร (เช่น เหตุปะทะ, ความไม่สงบ) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเคลมประกัน
  4. ติดต่อบริษัทประกันทันที: โทรแจ้งเคลมผ่านสายด่วนของบริษัทประกันที่คุณทำไว้ พร้อมแจ้งรายละเอียดเหตุการณ์และเลขที่รับแจ้งความ
  5. เตรียมเอกสารให้พร้อม: เตรียมสำเนากรมธรรม์, สำเนาทะเบียนรถ, สำเนาบัตรประชาชน และใบแจ้งความ เพื่อประกอบการเรียกร้องค่าสินไหม
  6. ปรึกษา คปภ.: หากการเจรจากับบริษัทประกันไม่เป็นผลหรือถูกปฏิเสธการเคลมโดยไม่สมเหตุสมผล สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนได้ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สายด่วน 1186

     โดยสรุปแล้ว เมื่อรถยนต์ที่เสียหายจากเหตุปะทะตามแนวชายแดน มีโอกาสเคลมประกันได้ หากคุณทำประกันชั้น 1 และเหตุการณ์นั้นไม่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็น "สงคราม" หรือ "การก่อการร้าย" แต่จะถูกจัดว่าเป็น "ความไม่สงบ" ซึ่งเข้าข่ายความเสียหายจากปัจจัยภายนอกที่ประกันชั้น 1 คุ้มครอง แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่การเข้าใจเงื่อนไขกรมธรรม์ของตนเองอย่างถ่องแท้ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับทรัพย์สินของคุณในยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และสามารถซ่อมหรือขอคืนทุนเพื่อความเหมาะสม

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 31 Jul, 2025
อ่านต่อ

     ระบบเบรค คืออีกสิ่งที่สำคัญในรถยนต์หากมีปัญหาขึ้นมาจะทำให้เกิดอุบัติเหตุที่อาจจะส่งผลให้กับชีวิตคุณ ซึ่งแน่นอนว่าอุปกรณ์ส่วนสำคัญคือ "ผ้าเบรค" ที่เป็นส่วนสำคัญและรับภาระหนักสุดๆ เช่นเดียวกัน แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ผ้าเบรคหมด หรือมีเสียงขึ้นมา วันนี้ เราจะมีอะไรที่รู้พร้อมแล้วมาดูกัน

 

7 สัญญาณบอก ผ้าเบรคหมด

1. สัญญาณจาก "เสียงจี้ดๆ"

หากคุณเบรกแล้วเกิดเสียงแหลมสูง "เจี๊ยดๆ" ขณะแตะเบรก แสดงว่าผ้าเบรคนั้นกำลจะหมด เพราะในผ้าเบรคมีการ  "แผ่นเหล็กเตือน" (Wear Indicator) ที่ติดมากับผ้าเบรค เมื่อเนื้อผ้าเบรคสึกหรอจนใกล้หมด แผ่นเหล็กนี้จะเริ่มสัมผัสกับจานเบรคเพื่อส่งเสียงเตือนผู้ขับขี่ นับเป็นสัญญาณแรกที่ชัดเจนที่สุดว่า "ถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ้าเบรคแล้ว"

2. เสียงครืดคราดเหมือนเหล็กบดกัน

อีกเสียงที่น่ากลัวจะดังแบบ ครืดคราด น่ากลัว เหมือนโลหะกำลังบดหรือขูดกันอย่างรุนแรงขณะเบรก นี่แหล่ะคืออันตราย เพราะมันเป็นการบอกว่าผ้าเบรคได้หมดลงโดยสมบูรณ์แล้ว และตอนนี้แผ่นเหล็กของตัวผ้าเบรคกำลังเสียดสีกับจานเบรคโดยตรง หากได้ยินเสียงนี้ควรหยุดใช้รถและนำเข้าอู่โดยด่วนที่สุด เพราะนอกจากจะอันตรายมากแล้ว ยังทำให้จานเบรคเสียหายอย่างรุนแรงอีกด้วย เพราะรุนแรงสุดคือ จานเบรคพัง

3. เบรกลึกกว่าปกติ หรือ "เบรกจม"

อีกสิ่งที่ทำให้คุณรู้ว่าเบรคคุณหมดแล้ว คือ กดลึกแล้วไม่หยุด หรืออาการเบรคจม เท่ากับระยะเบรคนั้นฟรี ทำให้รถไถ่มากขึ้น โดยมักจะเกิดเมื่อ ผ้าเบรคบางลง จะทำให้ลูกสูบในคาลิปเปอร์เบรคต้องเคลื่อนตัวออกมาไกลขึ้นเพื่อดันผ้าเบรคให้สัมผัสจานเบรค ทำให้ต้องใช้น้ำมันเบรคในระบบมากขึ้นและส่งผลให้ระยะเหยียบแป้นเบรคลึกตามไปด้วย

4. เบรกสั่นสะท้านขึ้นพวงมาลัยหรือแป้นเบรก

ถ้าคุณเบรคจากรถมาเร็วๆ แล้วรู้สึกว่าสั่นเป็นจังหวะมาถึงพวงมาลัย ดังนั้นทำให้เกิดจาก ผ้าเบรคที่สึกหรอไม่เท่ากัน หรือจานเบรคเริ่มคดงอเสียรูปทรงจากการเสียดสีและความร้อนสะสม ซึ่งมักเป็นผลพวงมาจากการปล่อยให้ผ้าเบรคหมดแล้วยังฝืนใช้งานต่อ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้

5. รถดึงไปทางซ้ายหรือขวาขณะเบรก

หากคุณเหยียบเบรคแล้วรถปัดหรือดึงไปทางด้านใดเยอะ ก็อาจจะ เกิดจากผ้าเบรคฝั่งใดฝั่งหนึ่งหมดเร็วกว่าอีกฝั่ง ทำให้แรงจับของเบรกสองล้อไม่สมดุลกัน หรืออาจมีปัญหาลูกสูบเบรคติดขัดร่วมด้วย

6. ไฟเตือนระบบเบรกโชว์ที่หน้าปัด

รถบางคันหากมีปัญหาเรื่องผ้าเบรคมีปัญหา ซึ่งทำให้ผ้าเบรคกหมดลงจนทำให้เกิดป้ัญหา บางคันจะมีการแจ้งเตือนเรื่องไฟบอกว่าเบรคมีปัญหาขึ้นมา โดยไฟนี้ติดขึ้นมาปุ๊ปเราควรจะรีบเช็คทันที โดยมักจะเป็นคำว่า BREAK หรือ (!)  

7. การเช็กด้วยตาเปล่า

และสุดท้ายหากคุณมีความรู้เกี่ยกับช่าง โดยจะมีการเผยว่า ผ้าเบรคหมดก็สามารถถอดมาดูได้ แต่ถ้าไม่อยากถอดและ รถของคุณใช้ล้อแม็กที่มีช่องกว้างพอ ให้ลองใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดูที่คาลิปเปอร์เบรค จะเห็นความหนาของเนื้อผ้าเบรคได้ โดยความหนาของเนื้อผ้าเบรคที่ปลอดภัยไม่ควรต่ำกว่า 3-4 มิลลิเมตร หากบางกว่านั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเปลี่ยนแล้ว

 

     อย่าปล่อยผ่าน! เพราะความปลอดภัยไม่มีคำว่า "เดี๋ยวก่อน" เพราะเบรคนั้นคือหัวใจสำหรับรถยนต์ของเรา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นควรจะต้องคิดในเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลัก

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 31 Jul, 2025
อ่านต่อ

     รถยนต์ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ จำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มีสภาพพร้อมใช้งานอย่างยาวนาน บทความนี้ เราจะพาไปดูว่าอะไหล่ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อยที่สุด มีอะไรบ้าง?

 

8 อะไหล่รถยนต์ที่ต้องเปลี่ยนบ่อยที่สุด

1.น้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่อง

ความสำคัญ - น้ำมันเครื่องทำหน้าที่หล่อลื่นและระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองตามระยะทางที่กำหนดจะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน

ระยะเวลาการเปลี่ยน - ควรเปลี่ยนทุก 5,000 - 10,000 กิโลเมตร หรือตามระยะเวลาที่ระบุในคู่มือรถยนต์

2.ผ้าเบรก

ความสำคัญ - ผ้าเบรกมีหน้าที่ในการชะลอความเร็วและหยุดรถ การเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อสึกหรอจะช่วยให้การเบรกมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ระยะเวลาการเปลี่ยน - ควรเปลี่ยนทุก 50,000 - 70,000 กิโลเมตร หรือเมื่อสังเกตเห็นว่าผ้าเบรกบางลง หรือมีเสียงดังขณะเบรก

3.ไส้กรองอากาศ

ความสำคัญ - ไส้กรองอากาศทำหน้าที่กรองฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่เครื่องยนต์ การเปลี่ยนไส้กรองอากาศเป็นประจำจะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระยะเวลาการเปลี่ยน - ควรเปลี่ยนทุก 20,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี

4.น้ำมันเกียร์และไส้กรองน้ำมันเกียร์

ความสำคัญ - น้ำมันเกียร์ทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนภายในเกียร์ การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และไส้กรองตามระยะเวลาที่กำหนดจะช่วยให้เกียร์ทำงานได้อย่างราบรื่น

ระยะเวลาการเปลี่ยน - ควรเปลี่ยนทุก 20,000 – 40,000 กิโลเมตร

5.แบตเตอรี่

ความสำคัญ - แบตเตอรี่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานให้กับระบบไฟฟ้าในรถยนต์ การเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อเสื่อมสภาพจะช่วยให้รถยนต์สตาร์ทติดง่าย

ระยะเวลาการใช้งาน - อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพอากาศ การใช้งาน และการดูแลรักษา โดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 ปี

6.ยางรถยนต์

ความสำคัญ - ยางรถยนต์มีหน้าที่ในการยึดเกาะถนน การเปลี่ยนยางเมื่อดอกยางสึกหรอหรือมีอายุการใช้งานนานเกินไป จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

ระยะเวลาการใช้งาน - ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานประมาณ 50,000 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น แต่หากมีการเสื่อมสภาพที่มองเห็นได้ชัด เช่น ดอกยางสึก แตกลายงา บวม ปูด ควรรีบเปลี่ยนทันทีเพื่อความปลอดภัย

7.ที่ปัดน้ำฝน

ความสำคัญ - ที่ปัดน้ำฝนมีหน้าที่ปัดน้ำฝนออกจากกระจกหน้ารถ เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ชัดเจน

ระยะเวลาการเปลี่ยน - ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน หรือเมื่อใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ

8.สายพานไทม์มิ่ง

ความสำคัญ - สายพานไทม์มิ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของวาล์วและลูกสูบ หากสายพานขาดขณะเครื่องยนต์กำลังทำงาน อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้อย่างรุนแรง

ระยะเวลาการเปลี่ยน - ควรเปลี่ยนตามระยะทางที่ระบุในคู่มือรถยนต์ โดยเฉลี่ยประมาณ 100,000 กิโลเมตร

 

     ทั้งนี้ รายการอะไหล่ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเท่านั้น ยังมีชิ้นส่วนอีกมากมายที่จำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาตามระยะด้วยเช่นกัน การเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ตามกำหนด จะช่วยให้รถยนต์ของคุณอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 31 Jul, 2025
อ่านต่อ

     ยางแท่นเครื่องเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ไปยังตัวถังรถ หากยางแท่นเครื่องเสื่อมสภาพ จะส่งผลให้เกิดปัญหาในการขับขี่และความเสียหายต่อชิ้นส่วนอื่นๆ ได้ หากคุณสงสัยว่ายางแท่นเครื่องรถของคุณอาจมีปัญหา ลองสังเกตอาการเหล่านี้ดูครับ

 

3 อาการบ่งบอกว่ายางแท่นเครื่องเสื่อมสภาพ

  1. รถสั่นสะเทือนมากผิดปกติ - โดยเฉพาะขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือเมื่อเร่งเครื่อง จะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ตัวถังรถมากขึ้นกว่าปกติ หรือหากหยุดรถติดไฟแดงพร้อมกับเข้าเกียร์ D ก็อาจมีแรงสะเทือนมากกว่าปกติเช่นกัน
  2. มีเสียงดังผิดปกติ - จะได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊ก หรือเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดบริเวณห้องเครื่องยนต์ โดยเฉพาะเมื่อขับรถผ่านหลุมบ่อ หรือขณะเปลี่ยนเกียร์ อาจเกิดจากยางแท่นเครื่องขาดหรือเสื่อมสภาพได้
  3. รถมีอาการกระตุก - เมื่อเร่งเครื่องหรือเปลี่ยนเกียร์ รถอาจมีอาการกระตุก หรือไม่นิ่มนวลเหมือนเดิม บ่งบอกว่ายางแท่นเครื่องหรือยางแท่นเกียร์เสื่อมสภาพได้เช่นกัน

สาเหตุที่ทำให้ยางแท่นเครื่องเสื่อมสภาพ

  • อายุการใช้งาน - ยางแท่นเครื่องมีอายุการใช้งานที่แน่นอน เมื่อใช้งานไปนานๆ ยางจะเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ
  • การใช้งานหนัก - การบรรทุกของหนักบ่อยครั้ง หรือการขับรถในสภาพถนนที่ขรุขระ จะทำให้ยางแท่นเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • อุณหภูมิ - ความร้อนจากเครื่องยนต์จะทำให้ยางแท่นเครื่องเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
  • รถเคยประสบอุบัติเหตุ - การเกิดอุบัติเหตุอาจทำให้ยางแท่นเครื่องเสียหายได้

วีธีแก้ไขยางแท่นเครื่องเสื่อมสภาพ

หากพบว่ายางแท่นเครื่องมีการเสื่อมสภาพ ทรุด ฉีกขาด ควรนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการทันทีเมื่อมีโอกาส เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ในระยะยาว การเปลี่ยนยางแท่นเครื่องทั้งชุดแต่ละครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 5,000 บาท ถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อของรถ รวมถึงเกรดของยางแท่นเครื่องที่เลือกใช้ หากเป็นของแท้ก็จะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าของเทียบ

     การดูแลรักษายางแท่นเครื่องเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด เพื่อให้รถยนต์ของคุณอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานและปลอดภัยเสมอนั่นเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 25 Jul, 2025
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.