×
หน้าหลัก > บทความประจำเดือน July 2023
บทความประจำเดือน July 2023
แสดง รายการ

     รถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันล้วนแต่ใช้ระบบกุญแจอัจฉริยะ หรือ Smart Key กันแทบทั้งนั้น แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่าหากประสบเหตุถูกโจรจี้ชิงรถแบบซึ่งหน้าจะเกิดอะไรขึ้น? เราจะพาไปหาคำตอบกันครับ

หลักการทำงานของกุญแจ Smart Key คืออะไร?

     กุญแจแบบ Smart Key หรือ Smart Keyless ถูกนำมาใช้กับรถยนต์ที่วางจำหน่ายจริงเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1998 โดยหลักการทำงาน คือ กุญแจจะส่งคลื่นวิทยุไปยังเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งไว้กับตัวรถ เจ้าของรถจึงสามารถปลดล็อกประตูโดยไม่จำเป็นต้องนำกุญแจออกจากกระเป๋า เพียงแค่กดปุ่มหรือสัมผัสเซ็นเซอร์บนมือเปิดประตูในรัศมีประมาณ 80 เซนติเมตร (อาจมากหรือน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น) ตัวรถก็จะปลดล็อกประตูให้โดยอัตโนมัติ

     และเมื่อผู้ขับขี่เข้าไปนั่งอยู่ภายในรถ ก็จะมีเซ็นเซอร์จับสัญญาณอยู่ภายในรถอีกชุดหนึ่ง เพื่อตรวจสอบว่ากุญแจอยู่ภายในห้องโดยสารเรียบร้อยแล้ว ผู้ขับขี่ก็เพียงแค่เหยียบเบรกและกดปุ่ม Push Start หนึ่งครั้ง จากนั้นกล่อง Immobilizer ก็จะตรวจสอบว่าเป็นกุญแจของรถคันนั้นจริงๆ และยอมให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดในที่สุด โดยที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องนำกุญแจรถออกจากกระเป๋าเลย

กรณีถูกโจรจี้ชิงรถซึ่งหน้าจะเกิดอะไรขึ้น?

     หากว่าโชคร้ายเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขณะที่คุณกำลังจอดรถเพื่อลงไปซื้อกับข้าว แต่จู่ๆ เกิดถูกโจรจี้บังคับให้คุณลงจากรถ และขับออกไปได้เป็นผลสำเร็จนั้น เครื่องยนต์จะยังคงติดอย่างต่อเนื่องแม้ว่าคุณ (ที่พกกุญแจไว้กับตัว) จะลงมาจากรถคันนั้นแล้วก็ตาม โดยที่รถจะยังคงสามารถขับได้อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีการดับเครื่องยนต์ จากนั้นก็จะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้อีกเลย เนื่องจากกุญแจไม่ได้อยู่ภายในรถแล้วนั่นเอง

     แม้ว่าจะฟังดูเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตราย แต่หากเทียบกับกุญแจระบบเก่าที่เป็นแบบบิดสตาร์ทแล้วล่ะก็ กรณีประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน ตัวโจรเองก็จะได้ทั้งรถทั้งกุญแจควบคู่กันไปเลยทันที (เนื่องจากเหตุการณ์จี้ชิงเกิดขึ้นขณะที่เครื่องยนต์กำลังติดอยู่) จึงสามารถดับเครื่องยนต์และสตาร์ทใหม่ได้ทุกเมื่อเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของรถเสียเอง แตกต่างจากระบบ Smart Keyless ที่ไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้อีกหากไม่พบกุญแจอยู่ภายในรถ

     ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จี้ชิงรถคงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ และคงมีโอกาสยากมากที่จะเกิดขึ้นกับคุณหรือคนใกล้ตัว แต่หากทราบหลักการทำงานเป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ โอกาสที่จะจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยนั่นเองครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 31 Jul, 2023
อ่านต่อ

     โดยปกติแล้วการเลือกซื้อ "ยางเก่าค้างปี" ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะยางเหล่านี้มักถูกนำมาลดราคาล้างสต็อก และไม่มีผลกระทบต่อการใช้งาน แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่คุณควรทราบก่อนเสมอว่ายางเหล่านี้เป็นยางที่เก็บไว้นานแล้ว ไม่ปล่อยให้ร้านนำมาหลอกขายว่าเป็นยางใหม่ที่เพิ่งผลิตจากโรงงาน แล้ววิธีเช็กวันผลิตยางต้องดูตรงไหน?

 

     ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า "ยางเก่าค้างปี" จะหมายถึงยางที่ถูกผลิตไม่ตรงกับปีที่ซื้อ (แต่หากเปลี่ยนยางช่วงต้นปี การได้ยางที่ผลิตช่วงปลายปีก่อนหน้าก็ถือเป็นสิ่งที่เข้าใจได้) ซึ่งยางเหล่านี้หากถูกเก็บรักษาอย่างเหมาะสม ด้วยอุณหภูมิไม่ร้อนจนเกินไป ก็แทบจะไม่ส่งผลต่อสมรรถนะการยึดเกาะถนนเลย แถมยังมักได้ราคาพิเศษที่ถูกกว่ายางที่ปีใหม่กว่าอีกด้วย

     แต่กระนั้น ร้านเปลี่ยนยางบางแห่งก็อาจอาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเจ้าของรถ เปลี่ยนยางเก่าค้างปีให้ในราคาเท่ากับยางปีใหม่ ทำให้เจ้าของรถเสียโอกาสในการได้รับสินค้าที่มีคุณสมบัติอย่างที่ควรจะเป็น

 

 วิธีเช็กเดือน-ปีที่ผลิตยางทำได้ง่ายๆ

     ให้สังเกตสัญลักษณ์ตัวเลข 4 หลักบนแก้มยาง ที่ถูกล้อมด้วยกรอบวงรี ซึ่ง 2 หลักแรกจะหมายถึงสัปดาห์ที่ผลิตยาง (1 ปี มี 52 สัปดาห์) ส่วน 2 หลักสุดท้ายจะหมายถึงปี ค.ศ. ที่ผลิตยางเส้นนั้นๆ นั่นหมายความว่ายางที่ปรากฏในภาพตัวอย่างด้านบน ถูกผลิตในช่วงสัปดาห์ที่ 19 หรือประมาณเดือนพฤษภาคมของปี ค.ศ. 2019 นั่นเอง

     อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนยางใหม่หรือยางค้างปี คุณควรจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของยางแต่ละรุ่น-ยี่ห้อมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการยึดเกาะถนน, ประสิทธิภาพการรีดน้ำ, ระยะการเบรก, ความเร็วสูงสุดที่รับได้ ฯลฯ เนื่องจากยางแต่ละรุ่นต่างก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป อีกทั้งยางแต่ละเส้นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร หรืออาจเร็วกว่านั้นขึ้นอยู่กับการใช้งาน โดยหมั่นตรวจสอบสภาพยางไม่ให้มีรอยแตก รอยฉีกขาด ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อการใช้งานอย่างยิ่ง

 

     รู้แบบนี้แล้วเปลี่ยนยางครั้งต่อไปลองสังเกตเดือน-ปีที่ผลิตดูสักนิด ก็จะได้ยางที่ตรงกับความต้องการของคุณเองแล้วล่ะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 31 Jul, 2023
อ่านต่อ

     จอดรถหลบแดด ถือเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักทำกัน เพราะรถจะได้ไม่โดนความร้อนจากแสงแดดทำร้ายจนทำให้สีซีดจางลง และเวลากลับมาขึ้นรถจะได้ไม่เจอความร้อนที่ระอุภายในรถอีกด้วย

     ซึ่งหากที่จอดรถเป็นอาคาร หรือมีที่บังแดดให้ก็คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ถ้าไปจอดที่เป็นลานกว้างมีต้นไม้ใหญ่ให้จอดหลบร้อน เราขอแนะนำเพื่อนๆ ไม่ให้ไปจอดนะครับ

 

     สำหรับสาเหตุที่เราไม่แนะนำให้ไปจอดใต้ต้นไม้ เพราะว่าประโยชน์ของมันมีแค่ข้อเดียว คือช่วยบังแดดเท่านั้น ส่วนอันตราย หรือผลเสียที่จะตามมา มีอยู่ดังนี้

 

     1. ขี้นก เพราะนกจะเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ เมื่อมันขับถ่ายของเสียออกมา รถของคุณจึงรับไปเต็มๆ และเนื่องจากขี้นกมีฤทธิ์เป็นกรด สามารถกัดกร่อนทำให้ผิวสีรถของคุณด่างกันเลยทีเดียว

     2. ยางจากต้นไม้ ถือเป็นตัวร้ายที่ทำลายสีรถได้โดยตรง เพราะต้นไม้บางต้นจะมียางเหนียวๆ หยดลงมา และยางที่ว่านี้ก็ทำความสะอาดออกจากตัวรถได้ยากมากๆ

     3. ผลจากต้นไม้ เนื่องจากบางต้นมีการออกดอกออกผล ทำให้ผลบางลูกร่วงตกลงมา ซึ่งหากเจอผลที่แข็งก็อาจทำให้ตัวรถที่โดนกระแทกยุบ หรือบุบ แต่ถ้าเจอผลที่ยังไม่สุก หรือผลที่อ่อนนุ่มนิ่ม เมื่อตกลงมาโดนรถ ก็อาจทำให้เปื้อนเลอะเทอะ และผลบางอย่างมีกรด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสีรถของคุณ

     4. ใบไม้ และกิ่งไม้ หากใบไม้ร่วงใส่เฉพาะแค่บนตัวรถก็คงจะไม่เท่าไหร่ นอกจากสร้างความรำคาญใจ ต้องคอยเก็บออกไป แต่ถ้ามันเข้าไปที่ห้องเครื่อง หรือระบบแอร์ ก็อาจมีโอกาสทำให้ระบบต่างๆ เหล่านั้นทำงานผิดปกติได้ ส่วนกิ่งไม้นั้นระดับความอันตรายขึ้นอยู่กับขนาด และน้ำหนักของตัวมันเอง เพราะมันมีทั้งกิ่งเล็ก กิ่งกลาง กิ่งใหญ่ หากโดนกิ่งเล็กๆ ก็คงจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าโดนกิ่งกลางกับกิ่งใหญ่เข้าไป รถอาจเป็นรอย และมีบุบแน่ๆ

 

     แม้ร่มเงาจากต้นไม้จะช่วยบังแดด ทำให้รถของเพื่อนๆ ไม่เจอกับสภาวะอากาศที่ร้อนจัด หรือสีรถโดนแดดเลียจนซีดจาง แต่ทางที่ดีเราขอเสนอให้หาที่จอดรถร่มๆ ที่อื่นจะดีกว่า หรือหากหาไม่ได้จริงๆ ก็ยอมจอดตากแดดไปเลย เพราะหากเทียบส่วนได้ส่วนเสียแล้ว รถเกิดเสียหายขึ้นมา และคุณไม่มีประกันชั้น 1 คุ้มครอง รอยบุบ รอยยุบ รอยขีดข่วนที่เกิดขึ้น คุณต้องเสียเงินจ่ายเองนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Mon 31 Jul, 2023
อ่านต่อ

      ในช่วงหยุดยาวนี้ หลายคนมีแผนขับรถไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งการตรวจสภาพรถให้พร้อมก่อนออกเดินทางถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล เราจึงขอแนะนำ 5 สิ่งที่ต้องเช็กก่อนเดินทางช่วงหยุดยาว มีอะไรบ้างไปดูกัน

 

      1. ของเหลวในห้องเครื่องยนต์ - ไม่น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเบรก, น้ำยาหล่อเย็น, น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ฯลฯ หากพบว่าระดับของเหลวใดอยู่ต่ำกว่าปกติ หรือมีสีผิดแปลกไป ให้รีบทำการเติมหรือเปลี่ยนตามความเหมาะสม และถ้าหากมีการพร่องของของเหลว ก็อาจบ่งบอกว่ามีการรั่วซึมเกิดขึ้นได้

      2. สภาพยางและช่วงล่าง - ดอกยางทุกเส้นจะต้องมีความลึกของดอกยางไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร เพื่อคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในการรีดน้ำบนถนนเปียก และยางจะต้องไม่มีรอยปริแตก บวม แตกลายงา ซึ่งบ่งบอกว่ายางเสื่อมสภาพแล้ว หากพบว่ามียางมีอาการเหล่านี้ควรเปลี่ยนเส้นใหม่ก่อนออกเดินทาง

      เจ้าของรถยังควรตรวจการทำงานของโช้กอัปทั้ง 4 ต้น ว่ายังทำงานได้ดีอยู่ ด้วยการใช้น้ำหนักตัวกดไปบริเวณตัวถังทั้ง 4 มุม โช้กอัปที่สมบูรณ์จะมีการเด้งกลับเพียง 1 ครั้งแล้วหยุด แต่หากตัวรถมีอาการเด้งต่อเนื่องหลายครั้งจนกว่าจะหยุด แสดงว่าโช้กอัปกลับบ้านเก่าเรียบร้อยแล้ว

      3. ไฟส่องสว่างรอบคัน - ระบบไฟส่องสว่างทุกตำแหน่งจำเป็นมากสำหรับการเดินทางไกล นอกจากจะช่วยให้เรามองเห็นถนนยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจนแล้วนั้น รถคันอื่นยังสามารถมองเห็นเราในความมืดได้ด้วย ดังนั้น หลอดไฟทุกดวงจะต้องไม่ขาด ทั้งไฟหน้า, ไฟหรี่, ไฟสูง, ไฟท้าย, ไฟเบรก และไฟเลี้ยวทุกดวง อีกทั้งยังควรตรวจเช็กมุมองศาของไฟหน้าให้อยู่ในระดับที่พอดี ไม่สูงจนเกินไป ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นตาพร่าได้ โดยสามารถหาวิธีการปรับตั้งความสูงไฟหน้าได้จากคู่มือของรถแต่ละคัน

      4. ใบปัดน้ำฝน - การเดินทางในช่วงฤดูฝนอาจมีฝนตกได้ตลอดเวลา ดังนั้นใบปัดน้ำฝนจะต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ โดยสังเกตได้ง่ายๆ ว่าจะต้องปัดน้ำได้สะอาดเกลี้ยงเกลาตั้งแต่ครั้งแรกที่ปัด ไม่หลงเหลือรอยน้ำทิ้งไว้ หากพบว่าใบปัดน้ำฝนเสื่อม หรือมีอาการฉีกขาด ควรรีบเปลี่ยนใหม่ทันทีก่อนออกเดินทาง

      5. ประกันภัย / ภาษี / พ.ร.บ. - ตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามีการชำระภาษีประจำปี และจัดทำ พ.ร.บ. เป็นที่เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องกังวลหากพบด่านตรวจระหว่างทาง รวมถึงควรจัดทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 เป็นอย่างน้อย จะช่วยเพิ่มความสบายใจหากเกิดประสบอุบัติเหตุขึ้นมา

      นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกเดินทาง งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนขับรถ รวมถึงควรจอดแวะพักระหว่างทางทุกๆ 2 - 3 ชั่วโมงเพื่อเรียกความสดชื่นกลับมา จะช่วยให้เดินทางถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 27 Jul, 2023
อ่านต่อ

     เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไมรถของเราจึงกินน้ำมันเพิ่มขึ้นผิดปกติเมื่อเทียบกับสมัยที่ออกป้ายแดงใหม่ๆ ซึ่งบ่อยครั้งสาเหตุที่รถกินน้ำมันมากกว่าปกติเกิดจากปัญหาที่ผู้ใช้รถมองข้ามไป เราจึงได้รวบรวมวิธีแก้ไขปัญหารถกินน้ำมันง่ายๆ ทำได้ดังนี้

 

1. เติมลมยางตามที่ผู้ผลิตกำหนด

     การปล่อยให้ลมยางอ่อนจนเกินไป จะทำให้ยางเกิดหน้าสัมผัสกับพื้นถนนมากกว่าปกติ เกิดเป็นแรงต้านการหมุนของล้อ (Rolling Resistance) ที่สูงขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ต้องใช้แรงมากขึ้นในการเคลื่อนที่ ส่งผลให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้นนั่นเอง

     วิธีแก้ไขง่ายๆ เพียงแค่เติมลมให้ได้ตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ โดยสามารถดูได้จากคู่มือหรือสติกเกอร์ที่ติดไว้บริเวณด้านในของเสากลางฝั่งผู้ขับขี่ และยังสามารถเติมลมยางสูงกว่าที่กำหนดไว้เล็กน้อยประมาณ 2-4 ปอนด์ (PSI) จะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันขึ้นไปอีกได้

 

2. นำของที่ไม่จำเป็นออกจากรถ

     น้ำหนักบรรทุกส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอย่างคาดไม่ถึง โดยหากเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2,000 ซีซี บรรทุกน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากปกติ 110 กิโลกรัม จะส่งผลให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้นเฉลี่ย 3.4% และหากเป็นการขับขี่ในเมืองก็จะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 5.4% เลยทีเดียว (หมายเหตุ: อ้างอิงจากรายงานของ ECCJ - Energy Conservation Center ประเทศญี่ปุ่น) การนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถ จึงช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองได้ในระยะยาว

 

3. เป่า-เปลี่ยนไส้กรองอากาศ

     ไส้กรองอากาศที่ผ่านการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน จะก่อให้เกิดสิ่งสกปรกอุดตัน ทำให้การไหลผ่านของอากาศทำได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร กำลังเครื่องยนต์ตก และมีอัตราสิ้นเปลืองที่เพิ่มมากขึ้น การถอดไส้กรองออกมาเป่าทำความสะอาด หรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองลงได้อย่างเห็นผล

4. นำรถเข้ารับการเช็กระยะเป็นประจำ

     การนำรถเข้ารับการบำรุงรักษาตามระยะทุก 10,000 กิโลเมตร (หรือตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้) ถือเป็นการดูแลรถยนต์ขั้นพื้นฐานที่จะช่วยให้รถยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน อีกทั้งรถที่เพิ่งผ่านการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจะมีอัตราสิ้นเปลืองลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเปลี่ยนถ่าย เนื่องจากน้ำมันเครื่องจะมีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นที่ดีกว่า และช่วยปกป้องไม่ให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรได้

 

5. ใช้ความเร็วคงที่ให้มากที่สุด

     เทคนิคง่ายๆ ของการขับรถประหยัดน้ำมัน คือการใช้ความเร็วคงที่ให้นานที่สุด เนื่องจากช่วงจังหวะที่ผู้ขับขี่เพิ่มความเร็ว จะเป็นช่วงที่เครื่องยนต์กินน้ำมันมากที่สุด ดังนั้นเมื่อผู้ขับขี่เร่งความเร็วจนถึงจุดที่ต้องการแล้ว ควรรักษาความเร็วนั้นไว้ให้นานที่สุด หลีกเลี่ยงการเพิ่มหรือลดความเร็วโดยไม่จำเป็น จะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันได้อย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว

 

     เห็นไหมครับว่าการที่รถกินน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ล้วนแต่มีสาเหตุมาจากการบำรุงรักษาและพฤติกรรมการขับขี่ หากว่าคุณสามารถปฏิบัติได้ตามข้อแนะนำ 5 ข้อข้างต้นนี้แล้ว รับรองว่าจะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้เดือนละหลายบาททีเดียวครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 27 Jul, 2023
อ่านต่อ

     วิธีดูเทอร์โบแท้ ที่ใครหลายๆ คนสงสัยกัน ว่าการดู ของแท้ หรือ ของปลอม ดูยังไง วันนี้ทางเรา มีวิธีการสังเกตุของแท้ มาแนะนำครับ

 

1.  เทอร์โบแท้ทุกลูกจะมีเลข SERIAL NO. เป็นของตัวเอง แต่ละลูกจะมีเลข SERIAL NO. ไม่ตรงกัน

2. SERIAL NO. จะต้องตรงกับ บิลเอกสารใบรับประกัน

3.จุดไข่ปลา

4. เทอร์โบแท้ ต้องซื้อกับตัวแทนจำหน่าย ที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น

5. ของแท้ TOYOTA ต้องเป็นกล่อง IHI เท่านั้น

     หากไม่มั่นใจในการซื้อสินค้าจากด้านนอกศูนย์บริการ สามารถสั่งซื้อกับเรา บริษัท สยามควาลิตี้ ดีเซล จำกัด ตัวแทนจำหน่าย ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการได้แล้ววันนี้ที่ https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

 

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Wed 26 Jul, 2023
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2024 Vevo Systems Co., Ltd.