×
หน้าหลัก > บทความประจำเดือน February 2024
บทความประจำเดือน February 2024
แสดง รายการ

ก่อนดับเครื่องยนต์ทุกครั้ง จะต้องปิดแอร์รถยนต์ก่อนเสมอ หรือไม่?

     หลายคนคงเคยได้รับการบอกกล่าวมาว่า ก่อนดับเครื่องยนต์ทุกครั้ง ต้องปิดระบบปรับอากาศของตัวรถก่อนเสมอ เนื่องจากมีความเชื่อว่าการสตาร์ทเครื่องยนต์โดยเปิดระบบแอร์ทิ้งเอาไว้นั้น จะเป็นการเพิ่มภาระของแบตเตอรี่ ทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก และอาจจะทำให้อายุการใช้งานของคอมเพรสเซอร์แอร์สั้นลงอีกด้วย

 

     แต่ความเป็นจริงแล้ว รถยนต์ในปัจจุบันนับตั้งแต่ยุค 90 ขึ้นมานั้น มีระบบตัดการทำงานของระบบไฟฟ้าภายในรถเมื่อบิดกุญแจสตาร์ท ดังนั้นการเปิดระบบแอร์ทิ้งเอาไว้จึงไม่เป็นการเพิ่มภาระของเครื่องยนต์จนทำให้สตาร์ทติดยากแต่อย่างใด และความเชื่อที่ว่าจะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์เสื่อมสภาพนั้นก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากคอมเพรสเซอร์จะเริ่มทำงานหลังจากเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้วเล็กน้อย ไม่ทำให้เกิดอาการกระชากเครื่องยนต์ระหว่างสตาร์ทแต่อย่างใด

     อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะปิดระบบแอร์ก่อนดับเครื่องยนต์หรือไม่นั้น ก็อาจประสบกับปัญหากลิ่นเหม็นอับได้อยู่ดี วิธีการแก้ไขคือ ให้ปิดสวิตช์ A/C เพื่อตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ แล้วจึงเร่งพัดลมแอร์มากกว่าปกติ จะเป็นการไล่ความอับชื้นภายในตู้แอร์ได้ ทางที่ดีควรนำรถไปจอดไว้กลางแดดบ้าง จะช่วยลดความชื้นในตู้แอร์ได้เช่นกัน

 

     แต่หากวิธีดังกล่าวไม่หายจริงๆ แล้วล่ะก็ ทางออกสุดท้ายก็คือการล้างตู้แอร์นั่นเอง ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ทั้งการล้างแบบถอดตู้แอร์ และล้างแบบส่องกล้องโดยไม่ต้องถอดตู้แอร์ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและงบประมาณในกระเป๋าของคุณเองครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

✅IHI TURBO 🇯🇵

✅GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 29 Feb, 2024
อ่านต่อ

     เคยสงสัยหรือไม่ว่าหากเผลอเหยียบ "แป้นคันเร่ง" กับ "แป้นเบรก" ไปพร้อมกัน จะส่งผลอย่างไรบ้าง? บทความนี้ เรา มีคำตอบมาฝากกัน

 

เหยียบคันเร่งและเบรกพร้อมกันจะเกิดอะไรขึ้น?

     โดยปกติแล้วเครื่องยนต์และเบรกจะทำงานแยกส่วนกันอย่างชัดเจน โดยหากผู้ขับขี่เกิดเผลอเหยียบคันเร่งและเบรกไปพร้อมกันขณะเข้าเกียร์ D แล้วล่ะก็ เครื่องยนต์ก็จะสร้างกำลังส่งผ่านชุดเกียร์ไปยังล้อ ขณะที่ระบบเบรกก็จะคอยยั้งไม่ให้รถเคลื่อนที่ หรือเคลื่อนที่ได้ช้าลง

 

     ซึ่งกรณีเช่นนี้เคยสร้างความระทึกขวัญให้กับผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อย เพราะหลายครั้งที่ผู้ขับขี่เกิดความสับสนระหว่างแป้นคันเร่งและแป้นเบรก อาจเผลอเหยียบทั้งสองแป้นพร้อมกันอย่างเต็มแรง ทำให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือข้างหลังโดยไม่ตั้งใจ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุตามมาได้

 

     หรืออย่างกรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ เคยมีรายงานว่ารถมีปัญหาคันเร่งค้าง ทำให้รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง แม้ว่าจะพยายามเหยียบเบรกอย่างเต็มแรงแค่ไหน รถก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะชะลอความเร็วลง กลายเป็นเคสที่ทำให้ผู้ใช้รถเกิดความหวาดกลัวไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว

ระบบ BOS ช่วยป้องกันการเหยียบคันเร่งโดยไม่ตั้งใจ

     รถตั้งแต่ยุคปี 2000 ขึ้นมา เริ่มมีการติดตั้งระบบ BOS หรือ Brake Override System เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หากระบบตรวจพบว่าแป้นคันเร่งและแป้นเบรกถูกเหยียบในเวลาเดียวกัน ระบบจะสั่งตัดการทำงานของคันเร่ง เครื่องยนต์จึงไม่มีพละกำลังมากพอที่จะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้า ช่วยป้องกันกรณีผู้ขับขี่เกิดความสับสนระหว่างแป้นคันเร่งและแป้นเบรกจนเผลอเหยียบไปพร้อมกัน รวมถึงป้องกันกรณีรถเกิดอาการคันเร่งค้าง (ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก) จนนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้

 

     ระบบ BOS ทำงานบนพื้นฐานว่าการเหยียบคันเร่งและเบรกพร้อมกันถือเป็นลักษณะการขับขี่ที่ผิดปกติ หากระบบตรวจพบว่าแป้นทั้งสองถูกเหยียบในเวลาเดียวกัน แสดงว่าผู้ขับขี่มีความต้องการที่จะหยุดรถ จึงตัดการทำงานของคันเร่งเพื่อให้ระบบเบรกสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

 

แล้วถ้ารถคันเร่งค้างจริงๆ จะทำอย่างไร?

     หากว่าโชคร้ายรถเกิดคันเร่งค้างขึ้นมาจริงๆ แถมรถก็ไม่มีระบบ Brake Override System มาด้วยแล้วล่ะก็ วิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดในการชะลอความเร็วและหยุดรถ คือการผลักคันเกียร์ไปยังตำแหน่ง N หรือกรณีรถเกียร์ธรรมดาก็เพียงแค่เหยียบคลัตช์และผลักเกียร์ไปตำแหน่ง N ก็จะเป็นการตัดกำลังจากเครื่องยนต์ไปสู่ล้อ ช่วยให้รถอยู่ในพิสัยที่สามารถควบคุมได้อย่างปลอดภัย

 

     ทางที่ดีการขับรถเกียร์อัตโนมัติ ควรใช้เท้าข้างขวาในการควบคุมแป้นคันเร่งและเบรกเพียงข้างเดียวเท่านั้น หลีกเลี่ยงการขับรถด้วยเท้าทั้งสองข้าง ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดความผิดพลาดและเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้มากโขแล้วล่ะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 29 Feb, 2024
อ่านต่อ

     แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะหันไปใช้รถเกียร์อัตโนมัติกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะก็ตาม แต่ก็ยังคงมีคนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะขับรถเกียร์ธรรมดาอยู่ เพราะบำรุงรักษาง่าย ราคาถูก แถมอายุการใช้งานยังยาวนาน แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่าเมื่อถึงเวลาหยุดรถเกียร์ธรรมดานั้น ผู้ขับขี่ต้องเหยียบ "เบรก" หรือ "คลัตช์" ก่อนจึงจะถูกต้อง? บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

 

ชะลอความเร็วหรือหยุดรถต้องเหยียบ "เบรก" ก่อน

     กรณีเป็นรถเกียร์อัตโนมัติก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่มีแป้นคลัตช์ให้วุ่นวาย แต่สำหรับรถเกียร์ธรรมดานั้น เมื่อผู้ขับขี่ถึงเวลาต้องชะลอความเร็วหรือหยุดรถ ควรเหยียบ "เบรก" ก่อนเหยียบ "คลัตช์" เสมอจึงจะถูกต้อง

 

     เนื่องจากหลักการทำงานของรถเกียร์ธรรมดานั้น เมื่อผู้ขับขี่ปล่อยเท้าออกจากคันเร่ง เครื่องยนต์จะยังคงเชื่อมต่อกับเกียร์ไปยังล้อ ส่งผลให้เกิดแรงเบรกจากเครื่องยนต์เพื่อช่วยในการลดความเร็ว ช่วยลดภาระของระบบเบรก แถมไฟเบรกยังติดเร็วขึ้นเพื่อเตือนรถคันหลังว่าคุณกำลังชะลอความเร็วลงนั่นเอง

     แต่หากผู้ขับขี่เลือกที่จะเหยียบคลัตช์ก่อนแล้วล่ะก็ จะเป็นการตัดกำลังของเครื่องยนต์ออกจากระบบเกียร์โดยสมบูรณ์ รถจึงเกิดอาการไหลโดยไม่มีแรงเบรกจากเครื่องยนต์เข้ามาช่วยชะลอความเร็ว ผู้ขับขี่จึงจำเป็นต้องเหยียบเบรกหนักขึ้นกว่าปกติ แถมยังต้องทนเมื่อยขาซ้ายมากกว่าเดิมอีกด้วย

 

     ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรเหยียบ "เบรก" ก่อนที่จะเหยียบ "คลัตช์" เพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยลดความเร็วลง โดยจะเริ่มเหยียบคลัตช์ก็ต่อเมื่อความเร็วต่ำจนกระทั่งเครื่องยนต์เริ่มเกิดอาการกระตุกแล้วเท่านั้น (แต่หากขับขี่จนชำนาญแล้ว ผู้ขับขี่จะทราบเองว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเหยียบเบรกโดยไม่ทำให้รถเกิดอาการกระตุก)

 

หากขับรถช้าควรเหยียบ "คลัตช์" ก่อน

     อย่างไรก็ดี แม้ว่าหลักการขับขี่รถเกียร์ธรรมดาควรเหยียบเบรกก่อนเสมอ แต่หากว่าผู้ขับขี่ใช้ความเร็วต่ำมากด้วยเกียร์ 1 หรือ 2 ยกตัวอย่างเช่น ขณะไหลไปตามการจราจรที่คับคั่ง ฯลฯ ก็ควรเหยียบแป้นคลัตช์ก่อนเพื่อป้องกันอาการกระตุกของเครื่องยนต์ ช่วยไม่ให้เครื่องยนต์ดับนั่นเอง

 

     จึงอาจสรุปได้ว่าหากขับรถด้วยความเร็วปานกลาง - สูง ควรเหยียบ "เบรก" ก่อนเพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยเบรก แต่หากขับรถด้วยความเร็วต่ำ ควรเหยียบ "คลัตช์" ก่อนเพื่อไม่ให้รถกระตุกหรือดับครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 29 Feb, 2024
อ่านต่อ

     การล้างรถถือเป็นการดูแลสีรถขั้นพื้นฐานที่ควรทำสม่ำเสมอ แต่หากล้างรถผิดวิธี ก็อาจทำให้สีรถเสียหายได้เช่นกัน เราจึงขอแนะนำ 5 พฤติกรรมต้องห้ามหากลงมือล้างรถด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สีรถเป็นรอย มีอะไรบ้างไปดูกัน

 

1. "ห้าม" ล้างรถทั้งคันโดยไม่ล้างฟองน้ำ

     การล้างรถไม่ว่าจะใช้น้ำยาล้างรถ หรือใช้เพียงน้ำเปล่า ไม่ควรใช้ฟองน้ำถูไปทั่วทั้งคันรถโดยไม่ล้างเป็นระยะ เนื่องจากตัวถังรถส่วนล่างมักมีสิ่งสกปรกขนาดใหญ่ เช่น ทราย, โคลน หรือดิน ที่ทำให้ตัวถังส่วนอื่นๆ ถูกขูดขีดจนกลายเป็นรอยได้ ทางที่ดีควรล้างตัวถังส่วนบนก่อน และจึงค่อยล้างส่วนล่างของตัวรถ พร้อมกับล้างฟองน้ำเป็นระยะๆ จะลดโอกาสเกิดรอยขีดข่วนได้

 

2. "ห้าม" ใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจานแทนน้ำยาล้างรถ

     หากน้ำยาล้างรถหมด ไม่ควรใช้น้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอกแทน เพราะน้ำยาล้างจานมีฤทธิ์รุนแรง จะทำให้แล็กเกอร์หรือแว็กซ์เคลือบตัวรถหลุดออกไปด้วย นอกเสียจากจะตั้งใจเคลือบรถด้วยแว็กซ์หลังล้างรถ มิเช่นนั้นก็ควรใช้น้ำเปล่าก็พอ

 

3. "ห้าม" ใช้เสื้อผ้าเก่าๆ เช็ดรถ

     การเช็ดรถควรใช้ผ้าเช็ดรถ หรือผ้าชามัวส์โดยเฉพาะ เนื่องจากการใช้เสื้อผ้าเก่า อาจมีตะเข็บหรือป้ายยี่ห้อที่ทำให้สีรถเสียหายได้

 

4. "ห้าม" ใช้สายยางพาดตัวรถ

     การล้างรถด้วยตัวเอง หลายคนมักเอาความสะดวกของตัวเองเป็นหลัก ด้วยการพาดสายยางขึ้นไปบนตัวถังรถ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ตัวถังเกิดรอยอย่างรุนแรง เนื่องจากสายยางที่พาด ไม่ได้พาดเฉยๆ แต่ยังมีการขยับเขยื้อนถูไปมาบนตัวถัง ทางที่ดีควรลอดสายยางใต้ตัวถังรถแทน

 

5. "ห้าม" ใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น

     ในขณะที่รถแห้ง ไม่ควรนำไม้ขนไก่มาใช้ปัดฝุ่นบนตัวถังรถ เนื่องจากจะทำให้เกิดรอยขนแมวได้ ทางที่ดีควรใช้แปรงที่ออกแบบสำหรับปัดฝุ่นโดยเฉพาะ หมั่นสะบัดแปรงบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ฝุ่นที่ติดในแปรงทำร้ายสีรถ จะช่วยลดรอยขนแมวได้

 

     เหล่านี้เป็นวิธีดูแลรถยนต์ขั้นพื้นฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยบนตัวถังรถที่เรารักครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 29 Feb, 2024
อ่านต่อ

     รถยนต์ที่ใช้งานมานาน ระบบต่างๆ ภายในรถยนต์อาจเสื่อมสภาพได้ อุปกรณ์ใดที่เสื่อมสภาพและต้องเร่งแก้ไขด่วนก่อนเข้าหน้าร้อนก็คือ ระบบแอร์ หากพบว่าระบบแอร์รถยนต์ของเรามีปัญหา ให้ตรวจสอบแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ

 

ทำไมแอร์รถไม่เย็น เย็นไม่ฉ่ำ เกิดจากปัญหาอะไร

     สาเหตุหนึ่งที่ระบบแอร์ของรถยนต์ไม่เย็นเท่าที่ควร เนื่องจากชุดวาล์วและดรายเออร์อุดตัน ดรายเออร์ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกจากน้ำยาแอร์ กรณีนี้จะทำให้น้ำยาแอร์ที่ฉีดออกจากคอมเพรสเซอร์ผ่านเข้าไปในคอยล์เย็นได้ไม่สะดวก ปริมาณน้ำยาแอร์จึงไม่เพียงพอที่จะดูดจับความร้อนภายในห้องโดยสารได้ ในขณะที่สตาร์ทเครื่องยนต์เดินเบา แอร์จะเย็นไม่มาก และมีเสียงดังเมื่อเร่งเครื่องแล้วแอร์จะเย็นนั่นแสดงว่าการอุดตันของวาล์วหรือดรายเออร์

วิธีแก้ปัญหาแอร์รถยนต์ ไม่เย็น หรือเย็นไม่ฉ่ำ

     ให้เปลี่ยนชุดวาล์วและดรายเออร์ใหม่ทั้ง 2 อย่าง เพราะดรายเออร์ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกจากน้ำยาแอร์ เมื่อวาล์วแอร์อุดตันแสดงว่าดรายเออร์ชำรุดแล้ว นอกจากนี้ ต้องดูแลแอร์รถยนต์ให้เย็นไปนานๆ จะต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ

  1. การใช้งาน
  2. การบำรุงรักษา

การใช้งาน

  1. เปิดแอร์ก่อนสตาร์ทรถ ป้องกันคอมแอร์ฉุดกำลังการสตาร์ท
  2. หลังจากจอดรถตากแดด แนะนำให้เปิดประตูระบายความร้อนก่อน
  3. เปิดแอร์เบอร์แรงก่อนการกดปุ่มน้ำยาแอร์ เพื่อไล่ความร้อนออกจากระบบแอร์ และเพื่อไม่ให้แอร์ทำงานหนักเกินไป
  4. ถ้าภายในห้องโดยสารเริ่มเย็นให้ลดความเร็วพัดลมอยู่ที่ความเร็วเท่าที่จำเป็น
  5. ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม หากปรับมากหรือน้อยไปจะทำให้แอร์ทำงานหนัก
  6. 5-10 นาทีก่อนถึงที่หมายให้ปิดปุ่มน้ำยาแอร์ และเปิดพัดลมเบอร์แรงช่วยไล่ความเย็น และความชื้น และช่วยลดกลิ่นอับ
  7. เปิดพัดลมแอร์ก่อนดับเครื่อง
  8. ห้ามเปิดกระจกขับรถบ่อยๆ เพราะฝุ่นและสิ่งสกปรกจากข้างนอกอาจจะเข้ามาติดในแอร์ได้
  9. การติดฟิล์มรถยนต์ก็ช่วยทำให้ระบบแอร์ไม่ต้องทำงานหนักมากไปได้

การบำรุงรักษา

  1. ตรวจสอบระบบแอร์ทุกๆ 5,000 กิโลเมตร หรือ ทุกๆ 3 เดือน
  2. เติมน้ำยาแอร์ให้ถูกต้องและอยู่ในระดับตามที่คู่มือกำหนด
  3. ทำความสะอาดแผงกรองแอร์
  4. ตรวจสอบสายพานคอมแอร์ว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือเสื่อมสภาพหรือไม่
  5. ควรล้างตู้แอร์เป็นประจำทุกๆ 2 ปี

 

ขอบคุณข้อมูลจาก Autospinn.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 29 Feb, 2024
อ่านต่อ

     หลายคนยังมีความเข้าใจผิดว่า "ดอกยาง" มีไว้เพื่อให้รถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอันที่จริงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอันที่จริงดอกยางมีไว้สำหรับ "รีดน้ำ" ต่างหากล่ะ!

 

     อันที่จริงแล้ว ยิ่งหน้ายางแนบสนิทไปกับพื้นถนนมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้รถเกาะถนนมากขึ้นเท่านั้น หากเทียบกันระหว่างยางที่มีความกว้างเท่ากัน ยางที่ไม่มีดอกยางจะสามารถยึดเกาะถนนได้ดีกว่ายางที่มีดอกยาง ส่งผลให้รถแข่งทางเรียบทั้งหลายมักเลือกใช้ยางไร้ดอก (Slick) ซึ่งมีพื้นผิวเรียบช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนได้ดีกว่ายางรถบ้านทั่วไป และลดแรงต้านทานที่เกิดจากดอกยางได้อีกด้วย (แต่หากจู่ๆ เกิดฝนตกขึ้นมาระหว่างการแข่งขัน รับรองว่าไถลออกนอกสนามกันเป็นว่าเล่นอย่างแน่นอน ยิ่งใช้ความเร็วสูงมากเท่าไหร่ยิ่งไม่รอด)

     แต่รถบ้านทั่วไปที่ใช้บนถนนปกตินั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีดอกยางเพื่อช่วย "รีดน้ำ" เมื่อขับผ่านแอ่งน้ำหรือระหว่างฝนตก ยิ่งดอกยางลึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะมีประสิทธิภาพการรีดน้ำมากขึ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากดอกยางเริ่มสึกลงก็จะมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำลดลงเช่นกัน

     กรณีขับรถผ่านแอ่งน้ำ ยางที่เสื่อมสภาพจนแทบไม่เหลือดอกยางนั้น จะไม่สามารถรีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ จนทำให้เกิดชั้นของน้ำแทรกกลางระหว่างหน้ายางและพื้นถนน (Hydroplaning) จึงสูญเสียประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนไป ส่งผลให้รถเสียหลักได้ในที่สุด ถึงแม้ว่ารถจะมีระบบควบคุมเสถียรภาพ (เช่น VSC, VSA, ESP, DSC,... หรืออื่นๆ ตามแต่ละผู้ผลิตรถยนต์จะเรียก) ก็แทบจะไร้ประโยชน์เนื่องจากหน้ายางไม่สัมผัสพื้นถนนไปแล้วนั่นเอง

     ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูฝน ก็ควรตรวจสอบสภาพยางรถยนต์ว่ามีดอกยางเหลือมากกว่า 3 มม. ขึ้นไป เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนั่นเองครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Tue 27 Feb, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2024 Vevo Systems Co., Ltd.