×
หน้าหลัก > บทความประจำเดือน January 2024
บทความประจำเดือน January 2024
แสดง รายการ

     หลายคนที่เพิ่งถอยรถป้ายแดงมาใหม่ คงสังเกตว่าทุกครั้งที่เหยียบคันเร่งหนักๆ จะมีกลิ่นแปลกๆ คล้ายกลิ่นไหม้เล็ดลอดเข้ามายังห้องโดยสาร จนกลายเป็นความกังวลว่าจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับรถของตัวเอง แต่แท้จริงแล้วกลิ่นไหม้ดังกล่าวเกิดจากอะไร? และเป็นอันตรายหรือไม่? เราจะพาไปหาคำตอบกันครับ

     กลิ่นไหม้ในขณะกดคันเร่งหนักๆ อาจเกิดขึ้นได้กับรถทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะ โดยทุกครั้งที่กดคันเร่งเพื่อคิกดาวน์ หรือลากรอบเครื่องยนต์สูงๆ จะมีกลิ่นเหม็นไหม้เข้ามายังห้องโดยสาร ยิ่งกดคันเร่งหนักเท่าไหร่ กลิ่นจะยิ่งแรงขึ้นเท่านั้น ซึ่งหลายคนถึงขั้นนำรถเข้ารับการตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ และมักจะได้คำตอบกลับมาว่า “ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด” ยิ่งสร้างความหนักใจให้กับเจ้าของรถขึ้นไปอีก

 

     อันที่จริงแล้ว กลิ่นดังกล่าวเกิดขึ้นจากระบบฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา หรือ Catalytic Converter หรือที่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า “ท่อแคต” นั่นเอง โดยทุกครั้งที่กดคันเร่งแบบคิกดาวน์ (หรือลากรอบเครื่องยนต์สูง) จะเกิดความร้อนจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์มากกว่าปกติ ความร้อนดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปยัง “ท่อแคต” เพื่อกำจัดมลพิษก่อนปล่อยออกสู่อากาศภายนอก ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นไหม้ย้อนกลับเข้ามายังห้องโดยสารผ่านทางช่องระบายอากาศที่ซ่อนอยู่ภายในกันชนท้ายนั่นเอง

     อย่างไรก็ดี เมื่อผ่านการใช้งานไประยะหนึ่ง กลิ่นเหม็นไหม้ดังกล่าวจะค่อยๆ จางหายไป ยิ่งถ้าเป็นคนขับรถเร็วหรือคิกดาวน์บ่อยๆ แล้วล่ะก็ กลิ่นก็อาจหายไปในระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่หากเป็นคนขับรถช้า ไม่ค่อยกดคันเร่งหนักๆ กลิ่นก็อาจคงอยู่แม้ว่ารถจะผ่านการใช้งานไปหลายปีแล้วก็ตาม

 

     ดังนั้น อาการดังกล่าวถือเป็นอาการปกติของตัวรถ ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการซ่อมแซมแต่อย่างใดครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 26 Jan, 2024
อ่านต่อ

      หลายคนคงเคยสังเกตเห็นว่าบริเวณสายเข็มขัดนิรภัย จะมีตุ่มเล็กๆ ติดตั้งเอาไว้บนสายเข็มขัดของรถแทบทุกคัน แล้วทราบหรือไม่ว่าตุ่มดังกล่าวมีไว้ทำอะไร?

 

      อันที่จริงแล้วตุ่มดังกล่าวมีไว้เพื่อให้หัวเข็มขัดนิรภัยอยู่ที่ปลายสายเสมอทุกครั้งที่หยิบมาคาด เพราะถ้าหากไม่มีตุ่มที่ว่านี้ หัวเข็มขัดก็จะลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างแน่นอน ทำให้ไม่สะดวกต่อการหยิบมาใช้นั่นเอง

      นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ภายในรถอีกหลายอย่างที่คุณเองก็อาจไม่ทราบถึงประโยชน์ในการใช้งาน จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

      1. ปุ่มปรับกระจกตัดแสง - รถยนต์แทบทุกคันจะมีกระจกมองหลังแบบตัดแสงมาให้ เหมาะสำหรับใช้ในกรณีที่รถคันหลังเผลอเปิดไฟสูงค้างไว้ วิธีใช้ก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่ดึงปุ่มบริเวณขอบล่างของกระจกเข้าหาตัว องศาของกระจกมองหลังก็จะถูกปรับองศาเพื่อตัดแสงจากรถคันหลัง ช่วยลดแสงจ้าลงได้อย่างเห็นผล

      2. ลูกศรบนเกจ์น้ำมัน - ลูกศรที่อยู่บริเวณด้านข้างของสัญลักษณ์รูปหัวจ่าย มีไว้เพื่อบอกตำแหน่งของฝาถังน้ำมันว่าอยู่ทางซ้ายหรือทางขวาของตัวรถ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกฝั่งที่จะเติมน้ำมันได้อย่างถูกต้องนั่นเอง

      3. ตะแกรงเล็กๆ บนแผงคอนโซล - หลายคนอาจเคยสงสัยว่าช่องตะแกรงเล็กๆ บนแผงคอนโซลหน้ามีไว้ทำอะไร จะเป่าลมออกมาก็ไม่ใช่ จะมีไว้ดูดอากาศก็ไม่เชิง ซึ่งอันที่จริงแล้วช่องดังกล่าวเป็นตำแหน่งของเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร เพื่อให้ระบบปรับอากาศสามารถทำความเย็นได้อย่างเหมาะสมกับอุณหภูมิจริงในขณะนั้น

      4. ปุ่มปรับระดับไฟหน้า - รถบางรุ่นสามารถปรับระดับความสูงของไฟหน้าตามน้ำหนักบรรทุกได้ เพราะหากมีผู้โดยสารเต็มคัน หรือบรรทุกสัมภาระที่มีน้ำหนักมาก หน้ารถก็จะเชิดขึ้น ส่งผลให้ไฟหน้าพุ่งแยงสายตาผู้ขับขี่คนอื่นๆ ได้ โดยที่ตำแหน่ง 0 คือตำแหน่งปกติ ไฟหน้าจะพุ่งไปได้ไกลที่สุด เหมาะสำหรับกรณีที่ไม่มีน้ำหนักบรรทุก ส่วนตำแหน่ง 1, 2 และ 3 ก็จะเป็นการกดองศาไฟหน้าให้ต่ำลงลดหลั่นกันไปตามลำดับ ยิ่งตัวเลขมากขึ้นเท่าไหร่ ไฟหน้ายิ่งต่ำลงเท่านั้น

      5. ปุ่มรูปหิมะ - รถบางรุ่นอาจมีปุ่มรูปหิมะติดตั้งมาให้ใกล้กับคันเกียร์ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้รถออกตัวอย่างนุ่มนวลบนทางที่เต็มไปด้วยหิมะ หากเป็นรถที่ใช้เกียร์แบบทอร์กคอนเวอร์เตอร์ มักจะเป็นการออกตัวด้วยเกียร์ 2 เพื่อป้องกันไม่ให้ล้อได้รับแรงบิดจากเครื่องยนต์มากจนเกินไป จนอาจเกิดเป็นอาการล้อหมุนฟรีบนพื้นผิวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะนั่นเอง

 

      เมื่อรู้จักอุปกรณ์เหล่านี้แล้วก็อย่าลืมใช้ให้เกิดประโยชน์กันด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 26 Jan, 2024
อ่านต่อ

     เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมเวลาขับรถไปต่างจังหวัด เรามักจะรู้สึกว่าขาไปใช้เวลายาวนานกว่าขากลับเสมอ ทั้งๆ ที่ระยะทางของทั้งสองขาก็แทบไม่แตกต่างกัน บทความนี้ เราจะพาไปหาคำตอบของปริศนานี้กัน

 

สาเหตุเกิดจาก "จิต" ของมนุษย์เอง

     ธรรมดามนุษย์เรามีการรับรู้เกี่ยวกับเวลาได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่ว่าจะเป็นหลักวินาที หรือยาวนานนับชั่วโมงก็ตาม บางวันเรารู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่พออีกวันกลับรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้า ทั้งๆ ที่แต่ละวันต่างก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน สิ่งเหล่านี้เกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบต่อตัวเรา เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว, อารมณ์ในแต่ละช่วงขณะ หรือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เป็นต้น

 

     เช่นเดียวกับความรู้สึกว่าทำไมการเดินทางขับรถขาไป จึงรู้สึกยาวนานกว่าขากลับเสมอ ปรากฏการณ์ที่ว่านี้เรียกกันว่า "Returning trip effect" เมื่อคุณเดินทางไปยังจุดหมายที่ไม่คุ้นเคยแล้วเดินทางกลับ มักจะดูเหมือนว่าขากลับใช้เวลาน้อยกว่าเดินทางขาไป แม้ว่าจะเดินทางด้วยระยะทางเท่ากันก็ตาม

 

     สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นสามารถตอบตามหลักจิตวิทยาได้หลายรูปแบบ โดยคำอธิบายหนึ่ง คือ "การใส่ใจกับเวลา" เมื่อคุณใส่ใจกับเวลาที่ผ่านไป จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับใช้เวลานานขึ้น การที่คุณเดินทางไปในที่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น กระตือรือร้นที่จะไปถึงจุดหมายโดยเร็ว จึงรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้า ผิดกับการขับรถกลับบ้านที่คุณแทบไม่เหลือความตื่นเต้นอะไรแล้ว คุณจึงให้ความสนใจกับเวลาลดน้อยลง ทำให้รู้สึกว่าขากลับเร็วกว่าขาไปนั่นเอง

 

     อีกสาเหตุหนึ่งคือความคาดหวังของผู้คนสำหรับการเดินทางกลับจะต่ำกว่า เมื่อเรามุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง เรามักจะคาดหวังที่จะได้สัมผัสอะไรบางอย่างที่นั่น การคาดหวังนี้อาจทำให้การเดินทางดูยาวนานขึ้น ในทางกลับกัน เราได้มีประสบการณ์จุดหมายปลายทางแล้วในการเดินทางไปกลับ ดังนั้นเราจึงคาดหวังต่ำลงและการเดินทางจึงดูสั้นลง

 

     เหล่านี้จึงเป็นคำตอบว่าทำไมการขับรถขากลับจึงรู้สึกเร็วกว่าขาไปนั่นเองครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 26 Jan, 2024
อ่านต่อ

     ทั้งๆที่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถเครื่องยนต์เบนซินที่มีราคาถูกที่สุดในปั๊มน้ำมัน สำหรับเบนซิน “แก๊สโซฮอล์ E85” ทว่าน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดดังกล่าวกลับไม่เป็นที่นิยมของคนใช้รถ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เราอาสาไปเสาะหาคำตอบมาฝากกัน

 

E85 คืออะไร

     ทำความรู้จักกับ E85 กันก่อน มันคือน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ที่มีส่วนผสมของน้ำมันเบนซินมาตรฐานเข้ากับเอทานอล (E) ในสัดส่วน 15 เปอร์เซ็นต์ และ 85 เปอร์เซ็นต์ จึงถูกเรียกว่า E85 ซึ่งคุณสมบัติของน้ำมันชนิดนี้หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นน้ำมันราคาถูกและมีค่าออกเทนต่ำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เอทานอลบริสุทธิ์ซึ่งผสมอยู่ในน้ำมัน E85 จะมีระดับออกเทนอยู่ที่ 105 – 115 ซึ่งสูงกว่าน้ำมันเบนซิน ทั้ง 91 และ 95 ที่สำคัญมันสามารถเพิ่มแรงม้าให้กับรถยนต์อีก 5 – 10% และยังช่วยให้เครื่องยนต์เดินเรียบขึ้นอีกด้วย

 

เข้าใจผิดเรื่องตัวเลขค่าออกเทน

     ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ มักจะเข้าใจว่า หากใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงแล้วรถจะแรง ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะค่าออกเทน คือตัวเลข แสดงความต้านทานการน็อก ของเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ ถ้าค่าออกเทนสูง จะมีความต้านทานการน็อกของเครื่องยนต์สูง ไม่เกี่ยวกับความแรงของเครื่องยนต์แต่อย่างใด

 

ยอดขาย E85 ยังไม่กระเตื้อง

     จากสถิติปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงต่อวันที่อ้างอิงจากกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ย้อนไปในปี 2560 ที่ผ่านมา เป็นตัวเลขที่ยืนยันได้ชัดเจนว่า E85 มียอดขายเฉลี่ยเพียง 1 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งเป็นรองทั้ง E20 ที่ขายได้วันละ 5.3 ล้านลิตร และเทียบไม่ได้เลยกับ แก๊สโซฮอล์ 91 และ แก๊สโซฮอล์ 95 ที่มียอดขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 10 และ 12 ล้านลิตรตามลำดับ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากปั๊มน้ำมันทั่วประเทศยังมีบริการ E85 ไม่ทั่วถึง และประเด็นสำคัญเลยคือไม่เป็นที่นิยมจากผู้ใช้รถนั่นเอง

 

E85 ยังมีข้อจำกัดในรถยนต์บางรุ่น

     นอกจากสถานีให้บริการน้ำมันที่ยังจำหน่าย E85 ได้ไม่ครอบคลุมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ข้อจำกัดของการเติมน้ำมันชนิดนี้ ก็คือรถยนต์นั่นเอง เนื่องจากรถยนต์ในยุคก่อนไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้กับน้ำมัน E85 ซึ่งมีส่วนผสมของ เอทานอล หรือ แอลกอฮอล์ ที่อาจไปทำลายวัสดุในระบบทางเดินน้ำมันเชื้อเพลิงให้เสียหายได้ อย่างไรก็ดีในยุคปัจจุบัน รถยนต์รุ่นใหม่ที่ผลิตจากโรงงานได้มีการปรับโครงสร้างให้สามารถรองรับ E85 ได้เกือบทั้งหมดแล้ว

 

ใช้ E85 แล้วหมดเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ

     ประเด็นนี้ถือว่าเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่รู้สึกไปเองแน่นอน แต่เหตุผลที่ทำให้ E85 หมดเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆไม่ใช่เหตุผลที่บอกว่าแอลกอฮอล์ระเหยเร็วกว่าเบนซินที่หลายคนเข้าใจกัน เพราะถังน้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์เป็นการเก็บแบบระบบปิดโอกาสที่น้ำมันจะระเหยออกมาถือว่าเป็นไปได้ยาก ทว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ E85 หมดเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่น เนื่องจากแอลกอฮอล์ให้ค่าพลังงานต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน ดังนั้นน้ำมันที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จึงต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่าเพื่อที่จะทำให้ค่าความร้อนเท่ากับน้ำมัน E20 รวมไปถึง โซฮอล์ 91 และ โซฮอล์ 95 นั่นเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 26 Jan, 2024
อ่านต่อ

     เฟจเฟซบุ๊ก EPPO Thailand โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เผยวิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ป้องกันการเสื่อมเร็วผิดปกติ สามารถทำได้ง่ายๆ 4 วิธี ดังนี้

 

1. ไม่ปล่อยแบตเตอรี่เหลือ 0% - การปล่อยแบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักจนเกิดความร้อนสูง

 

2. หลีกเลี่ยงการชาร์จเต็ม 100% - การชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เป็นประจำ จะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชาร์จจนเต็ม 100% ด้วยระบบชาร์จไฟแบบ DC (ชาร์จด่วน) ควรรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20 - 80% เท่าที่จะทำได้

 

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถหรือชาร์จในที่อุณหภูมิสูงจัด - หากเป็นไปได้ควรจอดชาร์จไฟในพื้นที่ร่ม เพื่อให้ระบบจัดการความร้อนของแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสังเกตได้ว่าหากชาร์จในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง กำลังการชาร์จไฟจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

4. จอดรถนานแบตต้องมากกว่า 30% - หากมีความจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานนับเดือน ควรเหลือปริมาณไฟในแบตเตอรี่อย่างน้อย 30% เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่

 

เพียงปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้เป็นประจำ ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ EV ได้ไม่มากก็น้อยแล้วล่ะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 26 Jan, 2024
อ่านต่อ

      ท่ามกลางความนิยมของคนไทย "บางกลุ่ม" ที่ชอบแต่งรถกระบะแบบผิดกฎหมาย คอยพ่นควันดำปี๋สร้างความเดือดร้อนไปทั่วนั้น ก็มีธุรกิจการรับซื้อ "ท่อแคต" เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายอันใดหาก "ท่อแคต" เหล่านี้เสื่อมสภาพจนไม่อาจนำมาใช้งานได้ หรือถูกถอดมาจากรถที่แจ้งยกเลิกการใช้งานและไม่นำมาวิ่งบนท้องถนนอีกต่อไป

 

ท่อแคต คืออะไร?

      "ท่อแคต" หรือ "คาตาไลติก คอนเวอร์เตอร์" (Catalytic Converter) มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยว่า "เครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา" เป็นชิ้นส่วนหนึ่งในระบบท่อไอเสียสำหรับกำจัดและลดปริมาณมลพิษจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ก่อนจะถูกปล่อยออกสู่อากาศภายนอกที่เราใช้สูดหายใจกันอยู่ทั่วไป

      ด้านในของท่อแคตจะประกอบไปด้วยกลุ่มโลหะมีค่า (Precious Metal) ที่มีมูลค่าสูงและหาได้ยาก เช่น ทองคำขาว (Platinum) ซึ่งเป็นหนึ่งในสารเชิงเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) ที่ดีที่สุดและถูกนำมาใช้เป็นวงกว้างในการกำจัดมลพิษที่หลงเหลือจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ รวมไปถึงแพลเลเดียม (Palladium) และโรเดียม (Rhodium) ก็ถือเป็นโลหะมีค่าที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเช่นกัน

วัตถุดิบราคายิ่งกว่าทอง

      ใครจะเชื่อว่าโลหะที่ใช้กำจัดมลพิษเหล่านี้กลับมีค่าดั่งทอง แถมบางตัวมีค่ามากกว่าทองด้วยซ้ำไป หากอ้างอิงตามเว็บไวต์ Goldandsilver.org จะพบว่าราคาทองคำปัจจุบัน (20 พ.ค.) ป้วนเปี้ยนอยู่ประมาณ 1,874 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 ออนซ์ หรือคิดเป็นตัวเลขกลมๆ อยู่ที่ราว 59,000 บาท

      ส่วนทองคำขาว (Platinum) ที่ถูกใช้เป็นโลหะกำจัดควันพิษก็มีมูลค่าสูงถึง 1,216 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 ออนซ์ หรือประมาณ 38,000 บาททีเดียว ขณะที่แพลเลเดียม (Palladium) ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมีราคาสูงเสียดฟ้ายิ่งกว่าทองอยู่ที่ 2,917 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 ออนซ์ หรือคิดเป็นเงินไทยตกประมาณ 91,500 บาท

      ด้วยมูลค่าวัตถุดิบมหาศาลเหล่านี้ การกำจัด Catalytic Converter ที่หมดอายุแล้ว จึงต้องมีการสกัดนำเอาโลหะมีค่าเหล่านี้ออกมาเสียก่อนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ก็ลองคิดดูแล้วกันครับว่าการนำของที่มีมูลค่าขนาดนี้ ไปแลกกับท่อไอเสียราคาไม่กี่พันบาทมันคุ้มกันไหม? นั่นยังไม่นับรวมคนบางกลุ่มที่จู่ๆ ดันเกิดขัดสนเงินทอง ก็รีบพุ่งตัวไปหาพ่อค้าเหล่านี้เพื่อแลกท่อแคตมาเป็นเงินสดแทน ทั้งๆ ที่จะเพิ่งถอยรถป้ายแดงออกมาสดๆ ร้อนๆ ก็ตาม

อยากแรงต้องถอดแคต?

      ปัจจุบันมีนักซิ่งกระบะจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะใช้บริการ "ถอดแคตแลกท่อซิ่ง" ที่หาได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสบนหน้าจอมือถือ ด้วยความเชื่อที่ว่าการถอดแคตออกจะทำให้รถวิ่งดีขึ้น แรงขึ้น แถมยังได้ท่อแต่งเสียงดังกระหึ่มมาทั้งเส้นฟรีๆ โดยไม่ต้องเงินสักบาท

      จริงอยู่ที่การถอดแคตออกนั้น หากว่ากันตามทฤษฎีจะทำให้รถแรงขึ้นได้ไม่มากก็น้อย เนื่องจากเครื่องยนต์สามารถระบายไอเสียได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ตามมาชัดเจน คือ รถเหม็นควันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมลพิษถูกออกจากปลายท่อไอเสียแบบเต็มๆ ทั้งสารประกอบไฮโดรคาร์บอน, คาร์บอนมอนอกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อระบบหายใจของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตร่วมโลก แถมยังซ้ำเติมปัญหาฝุ่น PM 2.5 แบบไร้ซึ่งเยื่อใยใดๆ ทั้งสิ้น

      และหากว่ากันตามจริง รถกระบะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบันก็มีพละกำลังในระดับที่ "เกินพอ" สำหรับการใช้งานเพื่อ "ทำมาหากินปกติ" ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ด้วยแรงบิดจากโรงงานต่ำๆ ก็เกือบ 400 นิวตัน-เมตรแทบจะทุกยี่ห้อ ดังนั้นการปรับจูนเครื่องยนต์ให้แรงขึ้นด้วยวิธีที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ แลกกับความเท่ในสายตาของคนบางกลุ่มที่มีความคิดใกล้เคียงกันจึงไม่ควรเกิดขึ้นเลย เพราะมันยังถูกต่อยอดไปถึงพฤติกรรมการขับรถแบบไร้วินัย ไม่คำนึงถึงกฎจราจร และการกระทำผิดกฎหมายมากมายอีกนับไม่ถ้วน

สรุปแล้วถอดแคตผิดกฎหมายหรือไม่?

      ในด้านกฎหมายนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ระบุถึงความผิดในด้านการถอดอุปกรณ์คาตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ออกโดยตรง แต่ พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 ก็กำหนดไว้ว่าจะรถทุกคันที่ปล่อยไอเสียได้นั้น จะต้องมีระบบไอเสียติดตั้งไว้เสมอ จึงอาจเข้าข่ายความผิดข้อหาอุปกรณ์ส่วนควบไม่สมบูรณ์หรือติดตั้งผิดกฎหมาย เนื่องจากคาตาไลติก คอนเวอร์เตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ผู้ผลิตรถยนต์ถูกบังคับให้ติดตั้งเข้ากับรถทุกคันจากโรงงานอยู่แล้ว นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปใช้ท่อซิ่ง อาจก่อให้เกิดเสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และมีมลพิษพุ่งเกินค่ามาตรฐาน จนไม่อาจการผ่านการตรวจสภาพเพื่อต่อภาษีประจำปีได้

 

      แต่ในเมื่อคนบางกลุ่มยังคิดถึงความเท่มากกว่าความถูกต้อง ประกอบกับผู้บังคับใช้กฎหมายไม่สามารถกวดขันวินัยได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น "คนส่วนใหญ่" คงต้องก้มหน้ารับ "ผลทางอ้อม" จากการกระทำของคนเหล่านี้ต่อไปอีกนานแสนนาน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Fri 26 Jan, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2024 Vevo Systems Co., Ltd.