×
หน้าหลัก > บทความประจำเดือน October 2024
บทความประจำเดือน October 2024
แสดง รายการ

     ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนที่มีอายุการใช้งานไม่ต่างไปจากชิ้นส่วนอื่นๆ ของรถยนต์ แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่ายางรถยนต์แต่ละเส้น สามารถใช้งานได้กี่กิโลเมตร หรือกี่ปี จึงจะต้องเปลี่ยนใหม่ บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกันครับ

 

ยางรถยนต์ใช้งานได้นานกี่ปี?

อายุการใช้งานของยางรถยนต์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ระยะเวลาเป็นปีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระยะทางที่ขับขี่ สภาพการใช้งาน และการบำรุงรักษา โดยทั่วไป ยางรถยนต์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 3 - 5 ปี หรือ 50,000 - 80,000 กิโลเมตร แต่ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพการใช้งานจริง

 

ปัจจัยที่ส่งผลให้อายุการใช้งานยางรถยนต์สั้นลง เช่น การเร่งเครื่องอย่างรุนแรง การเบรกกะทันหัน และการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง รวมถึงการขับขี่บนถนนที่ขรุขระ มีเศษหิน หรือมีหลุมบ่อ จะทำให้ยางสึกหรอได้เร็วขึ้นเช่นกัน

 

4 วิธีสังเกตว่ายางรถยนต์ควรเปลี่ยนใหม่

  1. ดอกยาง - ดอกยางสึกหรอจนเหลือต่ำกว่า 6 มิลลิเมตร หรือมองเห็นเส้นบอกระดับการสึกหรอได้ชัดเจน
  2. รอยแตกบนแก้มยาง - มีรอยแตกหรือรอยบาดที่เห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริเวณแก้มยาง ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการระเบิดได้ง่าย
  3. ยางบวม - ยางมีอาการบวมปูดจนมองเห็นได้ และก่อให้เกิดอาการสั่นขณะรถวิ่ง
  4. ลมยางอ่อนบ่อย - หากพบว่ายางรถยนต์มีอาการลมยางอ่อนบ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะการรั่วซึมจากตะปูที่ทิ่มค้างอยู่บริเวณหน้ายาง

     หากพบว่ายางเริ่มมีการเสื่อมสภาพ ยางแข็ง แตกลายงา หรือมีการฉีกบริเวณแก้มยาง ก็ควรรีบเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่แล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนน และลดเสียงรบกวนจากยางเก่าได้อีกด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 26 Oct, 2024
อ่านต่อ

     แบตเตอรี่แบบแห้งแท้จริงแล้วไม่ใช้แบตเตอรี่ที่ไม่มีน้ำกลั่น แต่เป็นชื่อที่ชาวบ้านมักใช้เรียกแบตเตอรี่แบบ MF หรือ Maintenance Free ซึ่งไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นเหมือนกับแบตเตอรี่น้ำปกติ ว่าแต่แบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถชาร์จไฟได้หรือไม่? แล้วสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่ MF เสื่อมไวคืออะไร? บทความนี้ เราจะพาไปหาคำตอบกัน

 

แบตเตอรี่แห้ง หรือแบต MF ชาร์จไฟได้หรือไม่?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าแบตเตอรี่แห้ง แท้จริงแล้วก็คือแบตเตอรี่ที่มีการเติมกรดและผนึกซีลมาจากโรงงาน โดยเจ้าของรถไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเหมือนกับแบตน้ำ แต่ถึงอย่างไรแบตเตอรี่แบบ MF ก็มีโอกาสที่น้ำกรดจะพร่องจนทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น จึงควรเช็กแบตเตอรี่เมื่อผ่านการใช้งานประมาณ 1 ปี

 

ส่วนแบตเตอรี่แบบ MF แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีช่องเติมน้ำ แต่แท้จริงแล้วช่องเติมน้ำกลั่นของแบตประเภทนี้จะถูกติดสติกเกอร์ทับเอาไว้ จนดูเหมือนไม่มีช่องเติมน้ำเท่านั้นเอง วิธีเติมก็ง่ายมากเพียงแค่ลอกสติกเกอร์ด้านบนออก ก็จะเจอช่องเติมน้ำกลั่นเหมือนกับแบตน้ำปกติทุกประการ

 

คำถามที่ว่าแบตเตอรี่แบบ MF (หรือแบตแห้งที่หลายคนเรียกกัน) สามารถชาร์จไฟได้หรือไม่? คำตอบคือ "ได้" หากแบตเตอรี่ยังไม่เสื่อม แต่รถไม่ค่อยมีการใช้งานมากนัก การชาร์จแบตเตอรี่จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้นได้

 

แบตเตอรี่แห้ง หรือแบต MF เสื่อมไวเกิดจากอะไร?

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพไว มักเกิดจาก 3 ปัจจัย ดังนี้

 

1. ใช้รถน้อย - การขับรถระยะทางสั้นๆ เป็นประจำจะส่งผลให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลงได้ เนื่องจากแบตเตอรี่ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะถูกชาร์จจนเต็ม ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง

 

2. เกิดคราบขี้เกลือที่ขั้วแบต - คราบขี้เกลือที่เกาะบนขั้วแบตเตอรี่เกิดจากปฏิกิริยาของน้ำกรดที่ระเหยไปโดยอากาศ มักเกิดจากการเติมน้ำกลั่นเกินกว่าที่กำหนดเอาไว้ หากปล่อยไว้ไม่ดูแล จะทำให้การไหลผ่านของไฟฟ้าลดลง เกิดการกัดกร่อนของโลหะบนขั้วแบตเตอรี่ ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพไวขึ้น

 

3. ความร้อนสูง - แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่ต้องเผชิญความร้อนอยู่ตลอดเวลาขณะใช้งาน ยิ่งเครื่องยนต์มีความร้อนสูงมากเท่าไหร่ (โดยเฉพาะรถติดก๊าซ LPG หรือ CNG) ยิ่งทำให้แบตเสื่อมสภาพเร็วขึ้นเท่านั้น จะสังเกตได้ว่าแบตเตอรี่รถยุโรปที่มักติดไว้บริเวณกระโปรงท้ายรถ มักมีอายุการใช้งานยาวนานกว่ามาก สาเหตุเป็นเพราะความร้อนที่น้อยกว่านั่นเอง

 

แบตเตอรี่เป็นชิ้นส่วนที่ราคาไม่สูงมากก็จริง แต่หากหมั่นดูแลอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถของคุณได้ไม่น้อยทีเดียวครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 26 Oct, 2024
อ่านต่อ

     ปฏิเสธไม่ได้ว่า "เลขไมล์" เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อรถมือสอง แต่ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่ารถมือสองในตลาดจำนวนไม่น้อยถูกกรอไมล์เพื่อให้ปล่อยขายได้ง่ายขึ้น บทความนี้ เราจะมาบอกว่าทำไมถึงไม่ควรซื้อรถมือสองที่ถูกกรอไมล์มาเด็ดขาด

 

ทำไมรถมือสองถึงไม่ควรถูกกรอไมล์?

1. ไม่รู้สภาพที่แท้จริง

โดยปกติแล้วรถยนต์จะมีสภาพทรุดโทรมไปตามระยะการใช้งาน ยิ่งใช้งานหนักเท่าไหร่ ก็มักจะยิ่งทรุดโทรมมากขึ้นเท่านั้น ทำให้รถกลุ่มนี้ขายต่อได้ยาก (ยกตัวอย่างเช่น รถอายุ 5 ปี แต่ผ่านการใช้งานมาแล้ว 200,000 กม. ผู้ซื้อก็มักจะเลี่ยงไปดูคันอื่นแทน)

 

การกรอเลขไมล์แม้ว่าจะทำได้เนียนจนผู้ซื้อทั่วไปแทบไม่มีทางรู้ว่าถูกกรอไมล์มา แต่ในความเป็นจริงสภาพตัวรถมักจะขัดกับเลขไมล์ที่โชว์บนหน้าจอ เช่น รถอายุน้อยผ่านการใช้งานไม่ถึง 1 แสนกิโลเมตร แต่เบาะคนขับกลับอยู่ในสภาพที่ยับเยินกว่าปกติ เครื่องยนต์หรือเกียร์มีอาการไม่สมบูรณ์ เหล่านี้จะทำให้คนซื้อไม่สามารถรับรู้ถึงสภาพของตัวรถได้อย่างแน่ชัด

 

2. อาจถูกละเลยการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม

รถยนต์จำเป็นจะต้องมีการบำรุงรักษาตามระยะทางอยู่เสมอเพื่อให้คงสภาพดีไปตลอด แต่การกรอเลขไมล์จะทำให้การบำรุงรักษาชิ้นส่วนบางอย่างผิดเพี้ยนไป เช่น สายพานไทม์มิ่งที่มีกำหนดเปลี่ยนทุก 120,000 - 150,000 กม. ไส้กรองน้ำมันเบนซินทุก 80,000 กม. ฯลฯ เหล่านี้จะส่งผลให้ผู้ซื้อเกิดความเข้าใจผิดว่ายังไม่ถึงกำหนดเปลี่ยนนั่นเอง

 

3. อาจถูกหมกเม็ดมากกว่าแค่กรอไมล์

การกรอเลขไมล์ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของช่างไทย ดังนั้น หากรถถูกกรอเลขไมล์มา ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกหมกเม็ดความผิดปกติอื่นๆ ของตัวรถด้วยเช่นกัน

 

วิธีดูรถกรอไมล์ทำอย่างไร?

การตรวจสอบรถที่ถูกกรอไมล์สามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้

 

ตรวจสอบสภาพรถควบคู่กัน - สภาพรถทั้งภายนอกและภายในควรสอดคล้องกับระยะการใช้งาน เช่น หากรถอายุไม่ถึง 5 ปี ใช้งานไม่ถึง 100,000 กม. หนังหุ้มเบาะควรอยู่ในสภาพดี ไม่ช้ำ ปุ่มบนแผงคอนโซลไม่ควรลอกเลือน แป้นคันเร่งและเบรกควรอยู่ในสภาพที่เหมาะสม ฯลฯ

 

ตรวจสอบประวัติการซ่อม - หากรถมือสองมีเอกสารการซ่อมบำรุงติดรถมาด้วย ให้ตรวจเช็กรายการซ่อมแซมว่าสอดคล้องกับเลขไมล์หรือไม่ รวมถึงหลีกเลี่ยงรถที่ผ่านการเปลี่ยนเครื่องยนต์มา เพราะส่วนมากมักถูกใช้งานหนักมาก่อน

 

เช็กประวัติอู่หรือศูนย์ - ตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุงจากอู่หรือศูนย์บริการที่เจ้าของเดิมใช้เป็นประจำ ซึ่งอาจหาได้จากใบเสร็จรับเงินการซ่อมบำรุงที่ติดมากับรถ โดยมากแล้วจะระบุเลขไมล์เอาไว้ หรืออาจใช้วิธีสอบถามกับศูนย์บริการยี่ห้อนั้นๆ โดยแจ้งหมายเลขทะเบียน เพื่อตรวจสอบว่ารถถูกนำเข้าศูนย์ครั้งสุดท้ายเมื่อใด

 

ถูกหลอกขายรถกรอไมล์ทำอย่างไร?

หากพบว่ารถที่ซื้อมาถูกกรอเลขไมล์ สามารถยกเลิกสัญญาซื้อขายได้ตามกฎหมายมาตรา 391 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พร้อมกับแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหลอกลวงประชาชนด้วยการปกปิดความจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2549 มาตรา 343 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

     แน่นอนว่าการซื้อรถมือสองมีความยุ่งยากกว่ารถป้ายแดง เสี่ยงต่อการถูกย้อมแมวได้ แต่หากเลือกรถมือสองไม่เป็นแล้วล่ะก็ ควรพาผู้เชี่ยวชาญ หรือช่างที่ไว้ใจได้ไปช่วยเลือก จะช่วยลดโอกาสได้รถที่ผ่านการกรอไมล์หรือย้อมแมวได้ครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 26 Oct, 2024
อ่านต่อ

     สัญญาณเตือนว่าไดชาร์จรถของคุณอาจมีปัญหา สามารถสังเกตได้จากหลายปัจจัย ไดชาร์จมีหน้าที่ในการชาร์จแบตเตอรี่ขณะเครื่องยนต์ทำงาน หากว่าไดชาร์จเสียหาย แบตเตอรี่จะค่อยๆ หมด จนอาจทำให้รถดับได้ในที่สุด ทางที่ดีควรรู้อาการตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้แก้ไขได้ทัน

 

5 สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าไดชาร์จอาจมีปัญหา

ไฟเตือนแบตเตอรี่สีแดงสว่างขึ้น - ไฟรูปแบตเตอรี่บนหน้าปัดจะสว่างขึ้นขณะเครื่องยนต์ทำงาน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าระบบไดชาร์จกำลังทำงานผิดปกติ โดยระหว่างนั้นรถยนต์จะอาศัยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 12 โวลต์เท่านั้น และไม่มีการสร้างประจุไฟเพื่อป้อนให้กับแบตเตอรี่

 

เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก หรือสตาร์ทไม่ติด - เมื่อแบตเตอรี่หมดลงจากการที่ไดชาร์จไม่ทำงาน เครื่องยนต์จะสตาร์ทติดยากกว่าปกติ หรืออาจสตาร์ทไม่ติดเลย

 

ไฟหน้าหรี่ลงขณะเครื่องยนต์ทำงาน - หากขับรถในเวลากลางคืน ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าไฟหน้าหรี่ลงเมื่อเปิดใช้ระบบไฟฟ้าอื่นๆ เช่น แอร์ ปุ่มกดกระจกไฟฟ้า ฯลฯ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าไดชาร์จกำลังทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ

 

ไดชาร์จมีเสียงแปลกๆ - เสียงจากไดชาร์จที่ผิดปกติ เช่น เสียงดังผิดปกติ หรือเสียงร้องแหลม อาจบ่งบอกถึงปัญหาภายในไดชาร์จ ซึ่งนำไปสู่อาการเสียในอนาคตได้

 

แรงดันไฟฟ้าในระบบต่ำ - การวัดแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ขณะเครื่องยนต์ทำงาน จะช่วยยืนยันได้ว่าไดชาร์จกำลังทำงานผิดปกติหรือไม่

 

     หากคุณพบสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็กกับศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมบำรุงโดยเร็ว เพราะมิเช่นนั้นแล้วหากฝืนนำรถไปใช้งาน จะทำให้แบตเตอรี่ค่อยๆ หมดลงในที่สุด กระทั่งเครื่องยนต์ดับและสตาร์ทไม่ติดอีกเลย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 26 Oct, 2024
อ่านต่อ

     รถยนต์ที่ใช้ระบบกุญแจบิดสตาร์ทจะสังเกตว่าเมื่อเราบิดไปยังตำแหน่ง ON ก่อนที่จะสตาร์ทนั้น จะมีไฟสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นมากมาย และหากทิ้งไว้สักพักไฟสัญลักษณ์ก็จะค่อยๆ ดับลงทีละดวง แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่าเราจะต้องรอจนกว่าไฟจะดับ หรือสามารถบิดสตาร์ทได้เลย บทความนี้ เรามีคำตอบมาฝากกันครับ

 

สตาร์ทรถต้องรอไฟหน้าปัดดับหมดก่อนหรือไม่?

ไฟสัญลักษณ์ต่างๆ ที่สว่างขึ้นเมื่อบิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง ON เปรียบเสมือนการทดสอบระบบ เนื่องจากขณะรถที่ยังไม่ได้ถูกสตาร์ท เซ็นเซอร์ต่างๆ จะมีการวัดค่าผิดเพี้ยนไป เช่น ไฟรูปน้ำมันเครื่อง บ่งบอกว่าไม่มีแรงดันน้ำมันเครื่อง (เป็นเพราะเครื่องยนต์ยังไม่ได้สตาร์ท), ไฟรูปแบตเตอรี่ บ่งบอกว่าไดชาร์จไม่ทำงาน (ก็เป็นเพราะเครื่องยนต์ยังไม่ได้สตาร์ทอีกเช่นกัน) ฯลฯ

 

ดังนั้น การที่ไฟเตือนต่างๆ สว่างขึ้นขณะบิดไปที่ตำแหน่ง ON ถือว่าเป็นปกติ เพียงแต่จะผิดปกติก็ต่อเมื่อหลังสตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว พบว่าไฟยังเตือนยังสว่างค้างอยู่ แสดงว่าเกิดความบกพร่องที่ระบบนั้น ควรรีบนำรถเข้ารับการแก้ไขกันต่อไป

 

     ส่วนคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องรอจนกว่าไฟสัญลักษณ์จะนิ่งเสียก่อน แล้วจึงค่อยบิดสตาร์ทเครื่องยนต์ คำตอบคือ "ไม่จำเป็น" สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เลยทันทีโดยไม่ต้องรอครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 26 Oct, 2024
อ่านต่อ

     ความผิดพลาดจากระบบเบรกจนทำให้เบรกไม่อยู่นั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่หากโชคร้ายเกิดไม่สามารถหยุดรถขึ้นมาได้จริงๆ จะมีวิธีใดบ้างที่ช่วยให้รถหยุดได้อย่างปลอดภัย? บทความนี้ เราจะพาไปหาคำตอบกัน

 

รถเบรกไม่อยู่ทำอย่างไรได้บ้าง?

     อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าความผิดปกติของระบบเบรกจนทำให้เบรกไม่อยู่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เว้นแต่กรณีละเลยการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม จนทำให้ระบบเบรกเสื่อมสภาพ หรือการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งอย่างฝาครอบเบรกเพื่อเลียนแบบคาลิเปอร์เบรกราคาแพง จนทำให้เกิดความร้อนสะสมสูงกระทั่งระบบเบรกไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะหยุดรถได้ทัน

     อย่างไรก็ดี หากรถเกิดอาการเบรกไม่อยู่ขึ้นมาจริงๆ ยังพอมีวิธีที่ช่วยหยุดรถได้อย่างทันท่วงที ดังนี้

1. เหยียบเบรกย้ำๆ - ปัญหารถเบรกไม่อยู่อาจเกิดได้จากการมีอากาศอยู่ในระบบเบรก การเหยียบเบรกซ้ำๆ จะช่วยไล่อากาศออกไป ทำให้ระบบเบรกกลับมาทำงานดังเดิม แต่ทางที่ดีควรรีบนำรถเข้ารับการซ่อมแซมระบบเบรกเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำ

2. ลดเกียร์ต่ำ - การลดเกียร์ลงต่ำทำได้ทั้งรถเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ โดยรถเกียร์ธรรมดาให้เข้าเกียร์ 2 หรือ 1 แล้วปล่อยคลัตช์ จะทำให้ความเร็วลดลงอย่างรวดเร็ว (อาจมีอาการเข้าเกียร์ยากหากรถวิ่งด้วยความเร็วสูง) จากนั้นใช้เบรกมือเข้าช่วยเมื่อรถใกล้หยุด

     ส่วนเกียร์อัตโนมัติให้ผลักคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง 2 หรือ 1 หรือ L หากเป็นเกียร์ระบบบวกลบ (+ / -) ให้ผลักคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งลบ (-) เรื่อยๆ จนกว่ารถจะชะลอตัว (เหตุที่ต้องคอยผลักเกียร์ลงเรื่อยๆ เพราะหากรถใช้ความเร็วสูง กล่องอีซียูมักไม่ยอมลดตำแหน่งเกียร์ลงให้หากใช้ความเร็วสูงเกินกำหนดของแต่ละตำแหน่งเกียร์) จากนั้นเมื่อรถใกล้หยุดให้ใช้เบรกมือเข้าช่วย

3. ดึงเบรกมือ - การหยุดรถด้วยการดึงเบรกมือถือเป็นเรื่องอันตราย เพราะอาจทำให้ล้อหลังล็อกตายจนเกิดอาการเสียหลักได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องลดความเร็วด้วยวิธีดึงเบรกมือ ให้ดึงขึ้นอย่างนุ่มนวลเพื่อป้ิองกันไม่ให้ล้อหลังล็อกตาย หากพบว่ารถมีอาการเป๋เนื่องจากล้อล็อก ให้ลดแรงดึงก้านเบรกมือลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ล้อล็อกจนกว่ารถจะหยุดนิ่ง

4. ดึงเบรกมือไฟฟ้าค้างไว้ - กรณีรถเป็นระบบเบรกมือไฟฟ้า สามารถใช้งานเบรกไฟฟ้าฉุกเฉินได้ด้วยการดึงสวิตช์เบรกมือไฟฟ้าค้างไว้ รถจะค่อยๆ ชะลอความเร็วลงโดยไม่ทำให้ล้อหลังล็อกตายเหมือนกับการดึงเบรกมือปกติ

 

     ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเลือกวิธีใดในการชะลอความเร็วของรถ จำไว้เสมอว่าห้ามดับเครื่องยนต์อย่างเด็ดขาด! เพราะอาจทำให้พวงมาลัยล็อก ระบบเบรกจะถูกตัดการทำงานโดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงเพิ่มขึ้นไปอีกได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 26 Oct, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2025 Vevo Systems Co., Ltd.