เมืองไทย! เป็นประเทศที่เรียกว่ามีอากาศที่ร้อนพอสมควรทำให้รถยนต์ทุกคันต้องมีการติดตั้ง "แอร์ในรถยนต์" ที่เรียกว่าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งอุปกรณ์ส่วนนี้เราต้องดูแลเหมือนกับแอร์บ้าน! คำถามคือ แอร์รถต้องล้างเมื่อไหร่ เพราะเวลาเอารถเข้าศูนย์มักจะถามให้เราสงสัย วันนี้ เราจะมาบอกกันว่าควรล้างแอร์รถ บ่อยแค่ไหน? และแอร์รถควรล้างเมื่อไหร่ดีที่สุด?
ควรล้างแอร์รถ บ่อยแค่ไหน?
ต้องบอกว่า ตามมาตรฐานทั่วไปและคำแนะนำจากช่างผู้เชี่ยวชาญ ควรล้างแอร์รถยนต์ "ทุกๆ 1 ปี หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตร"
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ไม่ใช่กฎตายตัว เพราะปัจจัยเรื่อง "สภาพแวดล้อม" มีผลอย่างมาก หากคุณเข้าข่ายพฤติกรรมเหล่านี้ อาจจะต้องล้างแอร์ถี่ขึ้นกับปัจจัยภายนอกเช่น
- ขับรถในพื้นที่ฝุ่นเยอะ: เขตก่อสร้าง, ถนนลูกรัง หรือพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นประจำ
- สูบบุหรี่หรือทานอาหารในรถ: ไอระเหยจากอาหารและควันบุหรี่จะไปจับตัวเป็นเมือกเหนียวที่คอยล์เย็น ทำให้สิ่งสกปรกสะสมเร็วกว่าปกติ
- ผู้ที่เป็นภูมิแพ้: หากคุณไวต่อฝุ่นและเชื้อรา การล้างแอร์ทุก 6 เดือนจะช่วยเรื่องสุขภาพได้มาก
4 สัญญาณเตือน! ว่ารถคุณ "ตู้แอร์ตัน" และต้องล้างด่วน
ไม่ต้องรอให้ครบปี หากรถคุณมีอาการเหล่านี้ แนะนำให้เช็กทันทีเช่น
- แอร์ไม่ฉ่ำ ลมออกเบา: เปิดพัดลมเบอร์แรงสุดแล้ว แต่ลมยังออกมาน้อย หรือมีแต่เสียงพัดลมแต่ลมไม่ออก (อาการตู้แอร์เป็นน้ำแข็ง หรือฝุ่นอุดตันครีบระบายความร้อน)
- มีกลิ่นอับชื้น: โดยเฉพาะตอนเริ่มเปิดแอร์ใหม่ๆ หรือมีกลิ่นเปรี้ยว
- ภูมิแพ้กำเริบ: นั่งรถทีไร จามหรือคัดจมูกทุกที
- เสียงดังผิดปกติ: ได้ยินเสียงกุกกัก หรือเสียงหวีดแหลมออกมาจากช่องแอร์
เลือกแบบไหนดี? "ถอดตู้" vs "ไม่ถอดตู้"
เมื่อตัดสินใจจะล้างแอร์รถ ร้านมักจะมี 2 ทางเลือกให้เสมอ ซึ่งมีข้อดี-ข้อเสียต่างกันดังนี้
1. การล้างแบบไม่ถอดตู้ (ใช้เครื่องส่องกล้อง)
- ข้อดี: สะดวก รวดเร็ว (ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.), ค่าใช้จ่ายถูกกว่า, ไม่ต้องรื้อคอนโซล ลดความเสี่ยงเรื่องสลักหักหรือเสียงก๊อบแก๊บหลังประกอบคืน
- ข้อเสีย: อาจทำความสะอาดได้ไม่ 100% หากตู้แอร์สกปรกมาก หรือมีเมือกเหนียวเกาะแน่น เครื่องฉีดอาจเข้าไม่ถึงซอกมุมลึกๆ
- เหมาะสำหรับ: รถใหม่, รถที่ล้างแอร์สม่ำเสมอ (Maintenance) และตู้แอร์ยังไม่ตันมาก
2. การล้างแบบถอดตู้ (รื้อคอนโซล)
- ข้อดี: สะอาด 100% เพราะสามารถนำคอยล์เย็นออกมาฉีดล้างข้างนอกได้ทุกซอกทุกมุม, สามารถตรวจสอบรอยรั่วของตู้แอร์ได้ทันที
- ข้อเสีย: ใช้เวลานาน (บางรุ่นต้องทิ้งรถไว้), ค่าใช้จ่ายสูงกว่า, ต้องใช้น้ำยาแอร์ใหม่ และต้องอาศัยความชำนาญของช่างในการประกอบคอนโซลกลับเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
- เหมาะสำหรับ: รถเก่า, รถที่แอร์ตันหนักมาก, รถที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง หรือรถที่ต้องการเช็กระบบรั่วซึมไปในตัว
วิธียืดอายุแอร์รถยนต์ ง่ายๆ ด้วยตัวเอง
หากคุณอยากจะยื่ดอายุการใช้งานรนอกจากการล้างแอร์รถนั้นจะต้องทำสิ่งต่างๆ ดังนี้
- เปลี่ยนกรองแอร์ตามระยะ: กรองแอร์คือด่านแรกที่กันฝุ่นไม่ให้เข้าตู้แอร์ ควรเปลี่ยนทุก 10,000 - 15,000 กม.
- ปิด A/C ก่อนถึงที่หมาย: ก่อนดับเครื่องยนต์สัก 2-3 นาที ให้กดปิดปุ่ม A/C (ตัดคอมเพรสเซอร์) แต่เปิดพัดลมแรงสุด เพื่อไล่ความชื้นออกจากตู้แอร์ ช่วยลดการสะสมของเชื้อราและกลิ่นอับได้ดีเยี่ยม
- เลี่ยงน้ำหอมระเหยแบบเจล: สารระเหยในน้ำหอมบางชนิด เมื่อเข้าไปในระบบแอร์ที่เย็นจัด จะเปลี่ยนสถานะเป็นเมือกเหนียวเกาะที่ตู้แอร์ ทำให้ตันไวขึ้น
สรุปแล้ว การล้างแอร์ไม่ใช่แค่เรื่องความเย็น แต่เป็นเรื่องของสุขภาพทางเดินหายใจของผู้ขับขี่ ดังนั้นถ้าเริ่มรู้สึกว่า "แอร์มีกลิ่น" หรือ "ลมเบาลง" อย่าฝืนใช้ต่อ รีบนำรถเข้าเช็กก่อนที่ระบบจะเสียหายลามไปถึงคอมเพรสเซอร์ ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่มากจนทำให้คุณจ่ายไม่ไหวก็ได้เช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
.
.
.
.
_____________________________________
เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
เทอร์โบแท้
✅IHI TURBO 🇯🇵
✅GARRETT 🇺🇸
✅MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵
✅ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%
✅คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว
✅สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน
✅บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม
“โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”
สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้
พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน
⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์
คลิก: www.sqdparts.com
⚙️สั่งซื้อทางเพจ
คลิก: m.me/sqdparts
⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์
คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts
คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu
คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN
คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx