×
ผลการค้นหา : TURBOแท้
แสดง รายการ

     เคยสังเกตหรือไม่ว่ารถบางรุ่นจะมีปุ่มปรับระดับที่มีตัวเลข 0 1 2 และ 3 ติดตั้งเอาไว้บริเวณแผงคอนโซลฝั่งผู้ขับขี่ เคยสงสัยหรือไม่ว่าปุ่มดังกล่าวมีหน้าที่เอาไว้ทำอะไร บทความนี้ เราจะมาไขคำตอบครับ

 

"ปุ่มตั้งระดับไฟหน้า" มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

หากรถคันไหนมีปุ่มตั้งระดับที่มีเลข 0 1 2 และ 3 (รถบางรุ่นอาจปรับตั้งได้ถึงเลข 5 ก็มี) พร้อมกับสัญลักษณ์รูปไฟหน้าแล้วล่ะก็ แปลว่ารถคันนั้นมีระบบปรับตั้งความสูงของไฟหน้าแบบแมนนวลที่สามารถตั้งค่าได้จากภายในรถ เหมาะสำหรับใช้เมื่อบรรทุกผู้โดยสารหรือสัมภาระเต็มคัน เพราะจะทำให้หน้ารถเชิดขึ้น ไฟหน้าอาจแยงสายตาผู้ร่วมทางได้

วิธีใช้งาน "ปุ่มตั้งระดับไฟหน้า" ก็ง่ายมาก โดยปกติแล้วหากรถไม่มีน้ำหนักบรรทุก (นั่งข้างหน้า 1-2 คน) ให้ตั้งไว้ที่เลข 0 จะเป็นตำแหน่งที่ระดับไฟหน้าพุ่งออกไปไกลที่สุด และเมื่อมีน้ำหนักบรรทุกจนหน้ารถเริ่มเชิดขึ้น ให้ปรับตำแหน่งไปที่เลข 1 2 หรือ 3 ขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุก โดยที่เลข 3 จะเป็นตำแหน่งที่ไฟหน้าพุ่งต่ำลงพื้นมากที่สุดนั่นเอง

 

ทั้งนี้ รถบางรุ่นที่มีราคาสูงหน่อยโดยเฉพาะรถยุโรปนั้น มักจะไม่มีปุ่มตั้งระดับไฟหน้ามาให้ เนื่องจากความสูงของไฟหน้าจะถูกปรับตั้งอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุก โดยสังเกตว่าเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ในเวลากลางคืน ไฟหน้าจะมีการปรับระดับความสูงขึ้น-ลงโดยอัตโนมัติเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อบ่งบอกว่าระบบพร้อมทำงานนั่นเอง

 

หากไฟหน้าไม่สว่างอาจเป็นที่ปุ่มตั้งไฟหน้า

กรณีพบว่าไฟหน้าไม่สว่างเท่าที่ควรเนื่องจากมีองศาพุ่งลงพื้นมากกว่าปกติ อาจเกิดจากการตั้งระดับความสูงไฟหน้าที่ไม่เหมาะสม หากรถของคุณมีปุ่มตั้งระดับไฟหน้าแล้วล่ะก็ ลองเช็กว่ามีการเผลอตั้งไว้ที่ตัวเลขอื่นนอกเหนือจากเลข 0 หรือไม่ หรือหากว่ารถไม่มีปุ่มตั้งไฟหน้าแล้วล่ะก็ สามารถตั้งระดับความสูงได้จากที่โคมแต่ละข้างโดยตรง โดยตรวจสอบวิธีการตั้งได้จากคู่มือของรถแต่ละคัน

 

เมื่อทราบเช่นนี้แล้วก็อย่าลืมใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 20 Apr, 2024
อ่านต่อ

     เว็บไซต์ CarMD เผยสถิติปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดเมื่อไฟเตือนรูปเครื่องยนต์โชว์บนหน้าปัด พร้อมระบุว่าปัญหาเหล่านี้อาจกระทบต่อค่าการปล่อยมลพิษและอัตราสิ้นเปลืองที่เพิ่มขึ้นได้

 

     รายงาน Vehicle Health Index 2021 ของเว็บไซต์ CarMD ได้ทำการสำรวจปัญหาเกี่ยวกับไฟเตือนรูปเครื่องยนต์ (ไฟเอนจิ้น) จากเจ้าของรถในสหรัฐอเมริกาตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา พร้อมเผยสถิติปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดจากไฟเอนจิ้นโชว์ และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม 5 อันดับ ประกอบด้วย

 

  1. เปลี่ยน Catalytic Converter ที่ได้มาตรฐานตามที่ผู้ผลิตกำหนด ค่าใช่จ่ายเฉลี่ย 1,383 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 46,000 บาท
  2. เปลี่ยนเซนเซอร์ออกซิเจน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 243 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,000 บาท
  3. เปลี่ยนคอยล์จุดระเบิดและหัวเทียน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 389 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13,000 บาท
  4. เปลี่ยนเซนเซอร์วัดปริมาณการไหลของอากาศ (Mass Air Flow Sensor) ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 336 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11,000 บาท
  5. เปลี่ยนฝาถังน้ำมัน หรือขยับให้แน่น ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 25 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 800 บาท

     นอกจากนี้ เว็บไซต์ดังกล่าวยังแนะนำให้เจ้าของรถที่พบปัญหาเหล่านี้ รีบนำรถเข้ารับการแก้ไขโดยเร็ว เนื่องจากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ท่ามกลางสภาวะที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการปล่อยมลพิษออกสู่บรรยากาศอีกด้วย

     อย่างไรก็ดี CarMD ระบุว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการซ่อมบำรุงรถยนต์ช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา พบว่าลดลง 1.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ประมาณ​ 378.77 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 12,500 บาท ขณะที่ค่าแรงเฉลี่ยลดลงถึงประมาณ​ 2.8% อันเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจ, การแข่งขันกันเองของอู่ซ่อมรถ รวมถึงการที่เจ้าของรถหันมาบำรุงรักษาด้วยตัวเอง

 

     รู้แบบนี้แล้วใครที่พบปัญหาไฟเอนจิ้นโชว์ก็ไม่ควรละเลยนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการอย่างเด็ดขาดด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Sat 20 Apr, 2024
อ่านต่อ

     เชื่อว่าเจ้าของรถหลายคนไม่เคยทราบมาก่อนว่า "ดินสอพอง" ที่นิยมเล่นในช่วงสงกรานต์นั้น อาจทำอันตรายต่อสีรถได้อย่างไม่น่าเชื่อ สาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้น เราจะพาไปหาคำตอบกัน

 

เนื่องจากดินสอพองมีส่วนประกอบของ แคลเซียม คาร์บอเนต (Calsium carnonate) หรือ หินปูน ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำ หากปล่อยทิ้งไว้จนแห้งเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับแสงแดดที่ร้อนจัด จะทำให้กลายเป็นคราบด่างฝังลึกบนชั้นแลกเกอร์ ไม่สามารถล้างออกด้วยน้ำเปล่าหรือแชมพูล้างรถปกติได้ จำเป็นต้องนำรถเข้าคาร์แคร์เพื่อให้สีกลับมาใสดังเดิม

 

นอกจากนี้ การละเลงดินสอพองลงบนตัวถังรถ จะทำให้เกิดริ้วรอยขนาดเล็กได้อีกต่างหาก เนื่องจากความหยาบของดินสอพองนั่นเอง

 

หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกป้ายหรือสาดน้ำที่มีส่วนผสมของดินสอพองแล้วล่ะก็ แนะนำว่าเมื่อถึงจุดหมายควรรีบล้างคราบดินสอพองด้วยน้ำสะอาดทันที และไม่ปล่อยคราบดินสอพองทิ้งไว้จนหมดช่วงเทศกาลโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้สีรถได้รับความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง

 

     เมื่อทราบเช่นนี้แล้วก็ควรรีบล้างคราบดินสอพองออกทันทีเมื่อมีโอกาสด้วยนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 18 Apr, 2024
อ่านต่อ

     หลายคนเริ่มทยอยเดินทางกลับจากต่างจังหวัดช่วงเทศกาลสงกรานต์กันแล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่าหลังจากขับรถทางไกล ก็จำเป็นจะต้องเช็กรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเช่นกัน จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในอนาคต จะต้องตรวจเช็กตรงไหนเป็นพิเศษบ้าง เราจะเฉลยคำตอบให้อ่านกัน

 

1. เช็กของเหลวในห้องเครื่องยนต์

ควรเปิดฝากระโปรงหน้ารถเพื่อตรวจเช็กระดับของเหลวต่างๆ ว่ายังคงได้ระดับตามที่กำหนดไว้ และไม่มีสีหรือกลิ่นผิดแปลกไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเบรก, น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ฯลฯ หากพบว่ามีการพร่องหรือมีสีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ควรรีบนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการทันทีเพื่อป้องกันปัญหาลุกลามบานปลาย

 

2. เช็กน้ำยาหล่อเย็น

เนื่องจากช่วงเดือนเมษายนเป็นเดือนที่มีสภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ต้องทำงานอย่างหนักเช่นกัน จึงควรตรวจเช็กเบื้องต้นด้วยการดูระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพักว่ายังคงปกติ และไม่มีสีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หากพบว่าน้ำยาหล่อเย็นในกระปุกพักหายไปจนหมดเกลี้ยง ให้รีบตรวจเช็กระดับน้ำในหม้อน้ำว่ายังคงมีเหลืออยู่ไม่ หากพบว่าระดับน้ำพร่องควรรีบเติมน้ำยาหล่อเย็นโดยทันที และนำรถเข้าอู่เพื่อตรวจสอบการรั่วซึมและซ่อมแซมต่อไป

 

อีกกรณีหนึ่งคือพบว่าน้ำหล่อเย็นแปรสภาพเป็นลักษณะข้น ประกอบกับมีสีผิดปกติคล้ายชานม บ่งบอกว่าฝาสูบอาจโก่งจนทำให้น้ำมันเครื่องเข้าไปผสมกับระบบหล่อเย็น ลักษณะเช่นนี้ให้หยุดใช้รถทันที และนำขึ้นรถสไลด์เพื่อเข้าอู่ต่อไป

 

3. เช็กคราบสกปรกและริ้วรอยต่างๆ

หากรถมีคราบน้ำและดินสอพองติดอยู่จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ควรรีบล้างให้สะอาดก่อนนำรถไปใช้งาน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้สีรถเป็นรอยด่าง ไม่สามารถล้างออกด้วยน้ำหรือแชมพูปกติได้ อีกทั้งยังควรตรวจสอบริ้วรอยจากการเฉี่ยวชนรอบคัน เพื่อวางแผนในการเคลมประกันหรือซ่อมแซมต่อไป

4. เช็กลมยางและสภาพยาง

ตรวจเช็กระดับแรงดันลมยางทุกล้อ เพื่อดูว่ามียางเส้นไหนรั่วซึมหรือไม่ ซึ่งโดยมากแล้วหากขับรถเหยียบตะปูและยังคงฝังอยู่ในเนื้อยาง ลมยางจะค่อยๆ ซึมออกทีละน้อยโดยผู้ขับขี่อาจไม่รู้ตัว ให้รีบนำรถเข้ารับการปะยางหรือพิจารณาเปลี่ยนยางเส้นใหม่ต่อไป จะได้ไม่เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาในอนาคต

 

     การตรวจเช็กสภาพรถเหล่านี้แม้ว่าจะดูเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่หากรถมีอาการผิดปกติก็จะช่วยให้เจ้าของรถรับทราบถึงปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ลุกลามบานปลายเสียค่าซ่อมมากมายโดยไม่จำเป็นครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 18 Apr, 2024
อ่านต่อ

     ช่วงระยะหลังมานี้มีข่าวรถยนต์เกิดเพลิงลุกไหม้อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนจัดเช่นนี้ โอกาสไฟไหม้รถก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย สาเหตุที่ทำให้รถไฟไหม้เกิดจากอะไร? เรามีคำตอบมาฝากกันครับ

 

3 สาเหตุรถไฟไหม้ที่พบได้บ่อย

สาเหตุที่ 1 ไฟฟ้าลัดวงจร

เนื่องจากรถยนต์แต่ละคันประกอบไปด้วยสายไฟฟ้าจำนวนมาก ซึ่งโดยปกติแล้วหากเป็นรถเดิมๆ จากโรงงานที่ไม่มีการดัดแปลง มักจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบสายไฟ เนื่องจากโรงงานผลิตแต่ละแห่งล้วนมีมาตรฐานในการเดินสายไฟและจัดเก็บเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

 

แต่กรณีที่พบบ่อย คือ รถยนต์ผ่านการดัดแปลงสายไฟ โดยเฉพาะรถที่มีการติดตั้งเครื่องเสียง หรือระบบกันขโมยจากร้านภายนอก หากช่างไม่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการกับระบบไฟและชุดสายไฟแล้วล่ะก็ อาจเป็นต้นเหตุทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร หรืออุปกรณ์บางชิ้นอาจโอเวอร์ฮีตจนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้ได้

 

สาเหตุที่ 2 น้ำมันเชื้อเพลิงรั่ว

หากน้ำมันเชื้อเพลิงมีการรั่วไหลจากส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบส่งน้ำมัน และสัมผัสกับท่อไอเสียที่มีความร้อนสูงจัดแล้วล่ะก็ มีโอกาสที่เพลิงจะลุกไหม้สูงมาก ดังนั้นหากพบว่ามีกลิ่นน้ำมันเบนซินเล็ดลอดเข้ามายังระบบปรับอากาศ หรือขณะอยู่ภายนอกรถแล้วล่ะก็ ควรรีบนำรถเข้ารับการตรวจเช็กโดยทันที

 

สาเหตุที่ 3 น้ำมันรั่วไหลในห้องเครื่องยนต์

นอกเหนือจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีโอกาสติดไฟได้แล้ว น้ำมันต่างๆ ในห้องเครื่องยนต์ก็มีโอกาสติดไฟได้เช่นกัน (แม้ว่าจะมีโอกาสค่อนข้างน้อยก็ตาม) หากมีการรั่วซึมของน้ำมันจนกระทั่งไปสัมผัสกับทางเดินท่อไอเสียที่มีความร้อนสูงจัด ก็อาจส่งให้เกิดไฟลุกไหม้ได้ไม่แพ้กับน้ำมันเชื้อเพลิง

 

หากรถไฟไหม้ต้องทำอย่างไร?

โดยปกติแล้วหากรถเริ่มเกิดเพลิงไหม้ จะมีกลิ่นเหม็นไหม้เล็ดลอดเข้ามาทางระบบปรับอากาศ และอาจเกิดควันตามมาได้ กรณีเช่นนี้ให้รีบนำรถเข้าข้างทาง และดับเครื่องยนต์โดยทันที จากนั้นให้รีบลงจากรถ และอยู่ห่างจากตัวรถให้มากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการระเบิด จากนั้นแจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 199 หรือหน่วยกู้ภัยโดยทันที

 

หากมีควันไฟออกมาจากห้องเครื่องยนต์ และต้องการเปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อดับไฟ ก่อนเปิดฝากระโปรงจะต้องระวังเปลวไฟที่อาจลุกอยู่ภายในห้องเครื่องยนต์ซึ่งยากแก่การมองเห็นด้วย

 

     สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยลดโอกาสเกิดเพลิงไฟลุกไหม้รถคันโปรดได้นั้น คือการหมั่นดูแลรักษาอย่างเหมาะสมอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการดัดแปลงระบบไฟของตัวรถ หากพบว่ารถมีกลิ่นเหม็นน้ำมันผิดปกติ ให้รีบนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการโดยทันที จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในอนาคตได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 18 Apr, 2024
อ่านต่อ

     ท่ามกลางสภาวะที่น้ำมันราคาแพงเช่นนี้ คงจะดีไม่น้อยหากมีวิธีขับรถประหยัดน้ำมันที่เห็นผลได้จริง แถมยังไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว หากใครลองทำตามแล้วล่ะก็ รับรองว่าจะต้องเซฟเงินในกระเป๋าได้แน่นอน จะมีวิธีอย่างไรบ้าง เราจะพาไปดูกัน

 

วิธีที่ 1 ปรับพฤติกรรมการขับขี่

สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้รถประหยัดน้ำมันขึ้นได้นั้น คือ "เท้าขวา" ของคุณเอง เพราะอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะแปรผันโดยตรงกับพฤติกรรมการขับขี่ ยิ่งขับเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ รถยิ่งกินน้ำมันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมง่ายๆ ด้วยการไต่ความเร็วอย่างพอดี ไม่ต้องรีบร้อน เติมน้ำหนักคันเร่งให้เกียร์เปลี่ยนที่รอบเครื่องยนต์ในช่วงไม่เกิน 2,000 - 2,500 รอบต่อนาที จากนั้นเลี้ยงความเร็วคงที่ประมาณ 80 - 90 กม./ชม. หรือขับทางไกลมากสุดไม่ควรเกิน 110 กม./ชม. หลีกเลี่ยงการเร่งแซงโดยไม่จำเป็น เพียงเท่านี้ก็ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากโขแล้ว

 

วิธีที่ 2 เติมลมยางเพิ่มจากปกติเล็กน้อย

โดยปกติแล้วเจ้าของรถควรเติมแรงดันลมยางให้ได้ตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้เสมอ แต่หากต้องการให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้น สามารถเพิ่มลมยางขึ้นอีก 3-5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) จากที่ผู้ผลิตกำหนดเอาไว้ จะช่วยลดแรงเสียดทานของหน้ายางที่สัมผัสกับพื้นถนน แลกกับความกระด้างที่เพิ่มขึ้นจากปกติเล็กน้อย

 

วิธีที่ 3 เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเสมอ

น้ำมันเครื่องส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพหล่อลื่นของชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะ มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องที่ผ่านการใช้งานมานาน ส่งผลให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองดีขึ้นตามไปด้วย แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้ จึงควรหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเสมอ โดยส่วนมากจะต้องเปลี่ยนทุก 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร

 

วิธีที่ 4 ลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็น

น้ำหนักบรรทุกมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองมากกว่าที่คิด เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 100 กก. จะส่งผลให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.4 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หากเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ คือ ทุก 1,000 กม. จะต้องใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 4 ลิตร หากน้ำมันลิตรละ 40 บาท แปลว่าต้องจ่ายเพิ่มอีก 160 บาท จึงควรนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถเพื่อลดน้ำหนักลงให้มากที่สุด

 

วิธีที่ 5 เปลี่ยนเส้นทางหนีรถติด

สภาพการจราจรที่ติดขัดจะส่งผลให้รถเปลืองน้ำมันมากขึ้นเช่นกัน หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราหนาแน่น เลือกเวลาออกจากบ้านหรือที่ทำงานอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการขับรถในช่วงเวลาเร่งด่วนทั้งเช้าและเย็น ยอมตื่นเช้าขึ้นเล็กน้อย หรือกลับบ้านดึกกว่าปกติเสียหน่อย ก็จะช่วยเซฟค่าน้ำมันลง แถมยังลดความเครียดจากสภาพจราจรได้อีกด้วย

 

เมื่อทราบ 5 วิธีประหยัดน้ำมันข้างต้นนี้แล้วก็อย่าลืมลองไปทำตามดูนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

.

.

.

.

_____________________________________

เราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

เทอร์โบแท้

IHI TURBO 🇯🇵

GARRETT 🇺🇸

MITSUBISHI TURBOCHARGER 🇯🇵

ซื้อกับเราได้สินค้าแท้100%

คุ้มค่ากว่า ใช้งานได้ในระยะยาว

สบายใจกว่า เทอร์โบแท้รับประกันสินค้ายาวนาน

บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

โดยทีมงานมืออาชีพ ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 24 ปี”

สั่งอะไหล่กับเรา "ออกใบกำกับภาษี" ได้

พร้อมบริการการดูแลหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน

⚙️เข้าชมสินค้าทั้งหมดในเว็บไซต์

คลิก: www.sqdparts.com

⚙️สั่งซื้อทางเพจ

คลิก: m.me/sqdparts

⚙️สั่งซื้อผ่านไลน์

คลิก: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=sqdparts

คลิกYoutube : https://bit.ly/3IAJstu

คลิกTiktok : https://bit.ly/3bXmLmN

คลิกInstagram : https://bit.ly/3AFxMDx

เขียนโดย sqdparts เมื่อ Thu 18 Apr, 2024
อ่านต่อ
แสดง รายการ
ร้านค้าออนไลน์ และ ขายของออนไลน์ โดย © 2006-2024 Vevo Systems Co., Ltd.